สัมผัสความเย็น & ความหมอกใกล้กรุง เที่ยวกาญจนบุรีช่วงโควิดปี 63 #สายเที่ยว ep.2/3
วันนี้ก็เป็นวันที่ 3 ของการเดินทางแล้วนะครับสำหรับทริปกาญจนบุรีในช่วงปี 63 ที่มีการเปิดให้ท่องเที่ยวผ่อนปรน วันนี้พวกเราเดินทางออกจากสังขละบุรีเพื่อไปสู่หมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง ที่มีอากาศเย็นฉ่ำตลอดทั้งปีและที่สำคัญก็อยู่ในจังหวัดกาญจนบุรีนี้ด้วย หลายท่านที่เคยไปสัมผัสมาแล้วนะครับคงจะถึงบางอ้อทันทีว่าที่นั่นคือ "บ้านอีต่อง" อำเภอทองผาภูมิหรือที่รู้จักกันในนามเหมืองปิล็อกนั่นเอง
บ้านอีต่อง
สำหรับที่บ้านอีต่องนี้นะครับ จะเรียกได้ว่าผมเป็นนักท่องเที่ยวในรุ่นแรกๆ เลยก็ว่าได้ หลังจากที่มีการพัฒนาในเรื่องของการท่องเที่ยวและที่พักอาศัยเป็นแบบโฮมสเตย์ เพราะว่าในยุคนั้นนักท่องเที่ยวยังน้อยมากและอากาศดีมากๆ ทำไมถึงต้องพูดเรื่องอากาศดีนั่นเพราะว่าในช่วง 4-5 ปีให้หลังนี้ อากาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากครับ สมัยก่อนบ้านอีต่องแทบจะไม่เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยทีเดียว เพราะว่าฝนตกชุกตลอดจนกระทั่งชาวบ้านต้องนำเอากองฟืนมาสุมไฟ และเอาสุ่มครอบเพื่อตากเสื้อผ้า พอจะนึกภาพออกใช่ไหมครับ แต่นั่นก็เป็นยุคโบราณแล้วนะครับ พอผ่านมาในยุคสมัยใหม่ทุกบ้านก็จะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอำนวยความสะดวกมากขึ้น ที่เล่าให้ฟังเพราะว่าแม้ในช่วงที่ผมไปช่วงต้นๆนั้นอากาศเย็นฉ่ำมาก หน้าร้อนอุณหภูมิด้านล่าง 40 + องศาแต่ข้างบนบ้านอีต่องอุณภูมิไม่สูงกว่า 25 องศาเลย ยิ่งตอนกลางคืนในหน้าร้อนนะครับ อุณภูมิอยู่ที่ 18-20 องศาเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นอากาศที่เย็นฉ่ำกำลังดีบอกเลยว่าฟินสุดๆ
กระแสนิยมของคนรักบ้านอีต่อง เกิดขึ้นจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็นตลอดทั้งปี แต่ในปัจจุบันช่วงหน้าร้อน อาจจะมีแดดออกบ้างในตอนกลางวัน ซึ่งก็ยังถือว่าอากาศเย็นกว่าในตัวเมืองกาญจนบุรีมาก และความชิคความชิลล์ของที่นี่ก็คือ ความเป็นกันเองของคนในหมู่บ้านที่โอบรับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นมิตร
สำหรับไฮไลท์เด่นๆ ของหมู่บ้านอีต่องแห่งนี้ ก็คือการได้ถ่ายรูปเซลฟี่
บนสะพานเข้าหมู่บ้าน การถ่ายรูปบรรยากาศเวลาที่หมอกปกคลุมหมู่บ้าน การเดินสูดโอโซนอย่างเต็มปอดเพราะหมู่บ้านนี้อยู่บนพื้นที่สูง จึงทำให้อากาศค่อนข้างเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
ในส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ก็จะเกี่ยวข้องกับเส้นตะเข็บชายแดนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเนินช้างศึก, เนินเสาธง หรือจะเป็นช่องมิตรภาพไทยพม่าที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินข้ามไปเล็กน้อยเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแต่ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของความปลอดภัยด้วยนะครับถ้าอุตริเดินลึกจนเกินไปอาจจะได้ไปอยู่ที่พม่าชั่วคราวก็เป็นได้
จุดไฮไลท์สำคัญอีกแห่งหนึ่งของบ้านอีต่องก็คือเหมืองปิล็อกครับ เมื่อกล่าวถึงเมืองปิล็อก หลายคนก็ถึงบางอ้อทันที แต่หามีคนรู้ไม่ว่า คำว่าเป็นล็อคนั้นไม่ได้เป็นภาษาพม่าอย่างที่หลายท่านเข้าใจ แต่คำว่าปิล๊อกเพี้ยนมาจากคำว่าผีหลอก เนื่องจากในสมัยโบราณที่มีการทำเหมืองแร่คนงานเจ็บป่วยล้มตายเป็นจำนวนมาก เพราะสภาพภูมิอากาศที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา และการเดินทางไม่ได้สะดวกเหมือนปัจจุบัน เอาจริงๆจะว่าไปแล้วปัจจุบันการขึ้นลงหมู่บ้านอีต่องยังเป็นอุปสรรคสำหรับหลายๆ คนเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นธุรกิจการทำเหมืองแร่ของหมู่บ้านอีต่องก็เคยเจริญรุ่งเรืองในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เหมือนกับเหมืองสมศักดิ์ ที่ทุกวันนี้มีป้าเกล็นเป็นผู้เฝ้าเหมืองแร่ที่ไม่ได้ประกอบการแล้ว ป้าเกล็นเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวพยายามชักชวนให้มาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ แต่ป้ารักที่แห่งนี้มากจึงไม่อยากไป ส่วนตัวผมเคยเดินเข้าไปพบปะกับป้าเกล็นหลายครั้ง ทำให้เข้าใจเลยว่าความเหงาของชราที่ห่างลูกหลานเป็นเช่นไร การที่ต้องอยู่ลำพังในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ เพราะจากปากทาง จะต้องเดินทางเข้าไปที่บ้านป้าเกล็นประมาณ 5 กิโลเมตร ซึ่งเป็น 5 กิโลเมตรของทางลูกรัง หากไม่มีรถโฟวิลหรือรถสองแถวท้องถิ่น บอกเลยว่ายากมากนะครับ
ทุกวันนี้ก็ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยี่ยมป้าเกล็นอยู่บ้าง บางส่วนก็จะใช้วิธีการเดินเท้าอย่างเช่นผมก็เคยเดินเท้าเข้าไปแล้วเช่นกัน ใช้เวลาไปครึ่งวันเต็มๆ กว่าจะไปถึง กว่าจะคุย กว่าจะกลับ ดีนะครับที่ยังออกมาทันพระอาทิตย์ตกดิน ในช่วงเวลาที่เดินเข้าไปก็พบเห็นมีรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์หรือมอเตอร์ไซค์วิบากขับสวนไปสวนมาอยู่บ้าง และนักท่องเที่ยวเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไปที่น้ำตกครับ ด้านในมีน้ำตกที่สวยงามแห่งหนึ่งเรียกว่าน้ำตกผาแปร จะต้องเดินเท้าเลยจากบ้านป้าเกล็นขึ้นไปอีกแต่ถ้านักท่องเที่ยวที่สนใจอยากจะเที่ยวน้ำตก บอกเลยว่าไม่ต้องลำบากเข้าไปถึงบ้านป้าเกล็นก็ได้ครับ เพราะที่น้ำตกจ๊อกกระดิ่นสามารถขับรถเข้าไปได้อย่างสบายๆ ทางอาจจะลาดชันและต้องระวังไหล่ทางเล็กน้อย
น้ำตกจ๊อกกระดิ่นแห่งนี้เป็นเพียงน้ำตกเล็กๆ นะครับให้เราได้ลงไปลูบเนื้อลูบตัวสัมผัสความสดชื่นถ่ายรูปสวยๆ ได้เพราะว่าเป็นน้ำตกขนาดเล็ก ลำพังจำนวนนักท่องเที่ยวที่แห่ไปในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็แทบจะเต็มพื้นที่ของน้ำตกแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้อยากจะแนะนำให้ไปเที่ยวในวันธรรมดา ซึ่งเป็นวันที่นักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นมาก
ด้วยกระแสนิยมของหมู่บ้านอีต่อง จึงทำให้นักท่องเที่ยวแห่กันไปที่นี่ และข้อเสียของการที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยที่หลายคนนั้นยังขาดจิตสำนึกของการท่องเที่ยวที่ดี จึงทำให้เกิดปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นขยะมูลฝอยหรือมลพิษ ทั้งมลพิษทางเสียง และมลพิษจากหมอกควันของท่อรถยนต์ ทำให้สภาพของบ้านอีต่องเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริงผมกลับมีความรู้สึกว่า ถ้าหน่วยงานจำกัดนักท่องเที่ยวได้คงจะดีไม่น้อย หรือสามารถควบคุมการกางเต็นท์ การใช้พื้นที่จอดรถ การนำรถขึ้นลงได้จะเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แต่การจะเปลี่ยนแปลงในระดับนั้นจำเป็นต้องอาศัยการประสานงานและความร่วมมือของหน่วยราชการที่มากเพียงพอจึงจะทำได้ครับ
เพราะฉะนั้นในส่วนตัวผมมองว่าหมู่บ้านอีต่องกำลังถูกกลืนไปด้วยกระแสนิยมของนักท่องเที่ยว ผู้คนในหมู่บ้านก็ต้องปรับตัวหลายๆบ้านนะครับที่ยอมทุบบ้านหลังเก่าของตัวเองและลงทุนปลูกเป็นโฮมสเตย์ขึ้นมาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวให้ได้ซึ่งในความเป็นจริงแล้วในหมู่บ้านยังมีปัญหาอีกหลายจุดเช่นปัญหาในเรื่องของไฟฟ้า ที่ต้องใช้การปั่นไฟ หากแต่น้ำประปานั้นยังมีให้ใช้ตลอดทั้งปี เนื่องจากมีลำน้ำที่ไหลผ่านมาจากพม่ามาสู่น้ำตกจ๊อกกระดิ่งด้านบนของน้ำตกจ๊อกกระดิ่งก็จะเป็นน้ำตกหายโศกซึ่งเป็นทางลงน้ำตกเล็กๆ สำหรับคนในชุมชนหรือนักท่องเที่ยวบางคนที่รู้จักเท่านั้น
หลายที่นะครับที่เราเห็นว่าพอเป็นกระแสนิยมแล้วนักท่องเที่ยวแห่กันเข้าไปมากๆ ก็เกิดการเสื่อมโทรมทางธรรมชาติ และทางสภาพแวดล้อม จนกระทั่งในที่สุดสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนั้นก็จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวตาย คือไม่เป็นที่นิยมเช่นเดิม
ยกตัวอย่างเช่น อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ในยุคที่ธรรมชาติยังสวยงามอากาศยังดีคนแห่ไปเที่ยวสวนผึ้งเรียกว่าเป็นนิวซีแลนด์เมืองไทยก็ว่าได้ แต่พอธรรมชาติถูกทำลายไปมากจากนักลงทุน ที่ปรับเป็นห้างร้านหรือรีสอร์ท รวมถึงมลพิษจากรถยนต์ที่แห่เข้าไปจำนวนมากทำให้อากาศของสวนผึ้งไม่ได้ดีเหมือนเดิมจนกระทั่งทุกวันนี้นะครับ ที่สวนผึ้งจะมีนักท่องเที่ยว ก็เฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์เท่านั้นเอง แต่ก็ไม่ได้หนาแน่นเหมือนสมัยก่อน เพราะว่าอากาศที่ร้อนขึ้นทุกปี ทุกปี ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามหลายแห่งเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ
สุดท้ายนี้นะครับขอฝากไว้สำหรับท่านที่อยากจะไปท่องเที่ยวในเชิงธรรมชาติหรือท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ไหนก็ตาม อยากให้ช่วยกันรักษาความสะอาด และอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิมของท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไป เนื่องจากหลายสถานที่ท่องเที่ยวที่ถูกกลืนไปด้วยกระแสนิยม ทำให้พฤติกรรมของคนในชุมชนเปลี่ยนไป เขาเหล่านั้นจะพยายามปรับตัวปรับสถานที่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวมากจนเกินไป จนทิ้งวัฒนธรรมดั้งเดิม ทำให้มนต์เสน่ห์ของสถานที่จางหายไปจริงๆ ช่วงนี้เป็นช่วงสถานการณ์โควิด จึงเป็นช่วงพักฟื้นฟูของสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ ที่ในประเทศไทยเช่นเดียวกันครับหากเราผ่านวิกฤตนี้ไปได้ และการท่องเที่ยวกลับมาเปิดอีกครั้ง รับรองได้ว่าประเทศไทยจะสวยงามยิ่งกว่าเดิมแน่นอน
สวัสดีครับพบกันใหม่สำหรับบทความหน้าผมจะมาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ทุกท่านได้อ่านสำหรับทริปนี้เราก็มีคลิปมาฝากเช่นเดิมครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น