เทวดาประจำตัวคือใคร? ค้นหาเทวดาประจำตนของคุณ #สายบุญ วันนี้มีคำตอบ
เกริ่นนำ
หลายคนอาจสงสัยว่า เวลาที่เราไปทำบุญ พระท่านก็มักจะกล่าวว่าอย่าลืมอุทิศบุญให้เทวดาประจำตน หรือแม้กระทั่งการถูกพูดถึงเป็นวงกว้างเกี่ยวกับเทวดาประจำตนของคุณ และก็มีหลากหลายความเชื่อเกี่ยวกับคำว่า "เทวดาประจำตน" ที่สืบทอดกันมาจากการตัด คัดลอก บอกต่อจนบางทีผู้อ่านหรือผู้ที่รับชมเกิดความสับสนเกี่ยวกับเทวดาประจำตัวไปพอสมควร
เคยสงสัยหรือไม่ครับว่า ในบางเวลาที่เวลาที่เราเผลอหลับเวลานั่งรถประจำทางไปที่ไหนสักแห่ง แต่เราจะมักสะดุ้งตื่นขึ้นมาเวลาที่เหมาะที่ควรเสมอ บางคนเวลามีเรื่องร้ายใดจะเกิดขึ้น ก็มักจะมีเหตุเตือนใจให้ได้ฉุกคิด หรือชะลอเหตุเหล่านั้นได้ทันท่วงที บางคนชอบดื่มสุราเมามายจนขาดสติ แต่กลับเป็นเรื่องแปลกที่บางทีสามารถเดินทางกลับบ้านของตนได้อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพอตื่นขึ้นมาก็จำความอะไรไม่ได้เสียด้วย บางคนเวลานั่งมองกระจก แล้วรู้สึกว่าคนที่อยู่ในกระจกไม่ใช่ตัวเอง เป็นใครอีกคนที่เราคุยได้ทุกเรื่อง บางคนเวลาปฏิบัติสมาธิ แล้วจะมีเสียงกระซิบแว่ว ๆ ข้างหูเรา หรือดลใจอะไรบางอย่าง ให้เราทำอะไรบางสิ่ง บางคนรู้สึกเหมือนมีปาฏิหาริย์ให้รอดพ้นจากความตายมาได้ และสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้แหละครับ คือ "เทวดาประจำตน" ที่คอยช่วยเหลือคุณ แต่ก็มีบ้างที่หลายครั้ง คุณทำผิดพลาด เช่น สำมะเลเทเมา เสพยาเสพติด ติดการพนัน หรือกระทำสิ่งใดที่เกินเยียวยา และการลงโทษ เกิดจากเทวดาประจำตัวของคุณก็เป็นได้เช่นเดียวกัน เพราะท่านมิอาจได้บุญกุศลใดจากคุณแล้ว ท่านก็จะต้องเตือนสติให้คุณคิดได้ให้เร็วที่สุด บางคนสุดที่จะเยียวยา เทวดาท่านก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้ผู้นั้นหมดบุญหมดวาสนาในภพภูมิมนุษย์เท่านั้นเอง จะช่วยเหลือก็ไม่ได้ จะทอดทิ้งก็ไม่ได้ ได้แต่เฝ้าดูเท่านั้น
บางท่านบอกว่า เทวดาประจำตัวเป็นดวงจิตของญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้วมาเฝ้าดูแลบุตรหลาน บางท่านบอกว่าเวลาที่เราเกิดจะมีดวงจิตหรือพลังงานมาแฝงในร่าง ซึ่งพลังงานเหล่านั้นถูกแบ่งสันปันส่วนให้เข้าสู่กายเนื้อเพียงส่วนเดียว และอีกส่วนจะยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวเรา บางตำราบอกว่าเป็นเหล่าเทวดาที่มีหน้าที่ดูแลคนแต่ละคนเพื่อเพิ่มบารมีและรอการอุทิศบุญ เมื่อพิจารณาอย่างนี้ แล้วเทวดาประจำตนของเราคือใครกันแน่ เป็นที่สงสัยติดค้างในใจใครหลายคน บทความนี้จะค่อย ๆ อธิบายเพื่อให้ทุกคนลองคิดตามนะครับ
เข้าเรื่อง
มนุษย์ ได้ถูกเรียกขานว่าเป็น "สัตว์ประเสริฐ" แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งคำว่า "เดรัจฉาน" มาจากภาษาบาลีที่ว่า ติรจฺฉาน แปลว่า ผู้ไปโดยส่วนขวาง คือมีร่างกายขนานกับพื้นโลก หรือแปลว่า ผู้ไปขวางจากมรรคผล นั่นหมายถึงสัตว์เดรัจฉานไม่อาจบรรลุมรรคผลนิพพานได้นั่นเอง ซึ่งหากมองในมุมมองของชีววิทยาแล้ว ยังมีสัตว์อีกหลายประเภทที่มีความรู้สึกคล้ายคลึงกับมนุษย์ เช่น ความกลัว ความเศร้า การรอคอย ความต้องการ ความเอาแต่ใจ ความดื้อ ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่น สุนัขที่เราเลี้ยงไว้ บ้านไหนมีสุนัขจะรู้ได้เลยว่า สัตว์เขาก็มีความรู้สึกหลากหลายไม่เหมือนกัน แต่ด้วยกระบวนการทางสมองและความคิดของมนุษย์ สามารถพัฒนาได้ไกลกว่าสัตว์เดรัจฉาน สามารถขัดเกลาตนเองได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่มนุษย์ เรียกตัวเองว่า สัตว์ประเสริฐ แต่การที่จะประเสริฐได้นั้น ต้องฝึก เรียนรู้ ศึกษา และพัฒนาตนเองควบคู่ไปกับการดำรงชีวิตนั่นเอง
ในความเชื่อเกี่ยวกับภพภูมิ หรือการเวียนว่ายตายเกิด ชาวพุทธเชื่อว่า คนเราไม่ได้เกิดมาแค่หนเดียว แต่อาจจะวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารมาแล้วหลายภพ หลายชาติ และแต่ละคนก็ต่างมีกรรมสัมพันธ์กันไปมาวนเวียน ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย และไปสู่ภพภูมิใหม่ตามกำลังบุญ ดังนั้น ผู้ที่สร้างบุญสร้างกุศล ก็จะไปเกิดในภูมิเทวดา ประจำทิศทาง ตำแหน่ง วิมานใดนั้น ก็ตามแต่กำลังบุญของตน ส่วนผู้ที่ปฏิบัติจนหลุดพ้น ก็จะเข้าสู่สภาวะนิพพาน คือไม่ทุกข์ ไม่เหนื่อย ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป และนี่แหละครับ คือที่มาของแนวคิดเรื่อง "เทวดาประจำตน"
เมื่อคนเราถือกำเนิดเกิดขึ้นจากครรภ์มารดา มีความเชื่อว่า เราไม่ได้มาตัวเปล่าครับ เราหอบเอาบุญกรรมสัมพันธ์ที่ทำมาแต่ปางก่อนติดตัวกันมาทุกคน บางคนเกิดมาง่อยเปลี้ยเสียขา ก็ด้วยกรรมเก่าที่ทำ ที่สร้างไว้ ต้องเกิดมาเพื่อชดใช้ให้กับผู้ที่ถูกเรียกว่า "เจ้ากรรมนายเวร" จนกว่าจะได้รับการ "อโหสิกรรม" หรือแปลง่าย ๆ ก็คือ อภัยให้ไม่ติดค้าง ดังนั้น แนวคิดที่ว่า เทวดาประจำตนก็คือญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วของเรานั้น อาจจะมีความหมายได้ไม่ครบถ้วน เพราะท่านเหล่านั้น อาจจะไม่ได้มีบุญมากพอที่จะไปถือกำเนิดเป็นเทวดาเสมอไป ท่านใดมีกรรมก็ต้องไปเกิดในภพภูมิใหม่ที่ชดใช้กรรม อาจจะไม่พอที่จะเกิดเป็นคนเสียด้วยซ้ำ ใครทำกรรมชั่วอันใดไว้มาก มิเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นสัมภเวสี ก็ต้องเป็นเดรัจฉาน ตามกรรมของตน เรามิอาจวัดคุณค่าของบรรพบุรุษว่าจะต้องไปเกิดเป็นเทวดาได้เสมอไป หากแต่ท่านใดทำกรรมดีไว้มาก ระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยตลอดชีวิตที่สร้างมา บุญเหล่านั้นก็จะนำท่านไปเกิดเป็นเทวดา เพื่อเสวยภพภูมิตามกำลังบุญของท่านนั่นเอง และมีความเป็นไปได้ ที่ ท่านจะมาอวยพรและเป็นเทวดาประจำตนของใครสักคน เพื่อดูแลบุตรหลานของท่านได้
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะพอนึกภาพออกนะครับว่า ผู้ที่จะเป็นเทวดาประจำตนของเราได้นั้น จะต้องมีบุญ หรือมีกรรมสัมพันธ์กับเรามาก่อน แนวคิดที่ว่า เราเป็นส่วนแบ่งของพลังงานก้อนหนึ่ง ที่อาจจะปันส่วน 10% มาอยู่ในร่างมนุษย์ของเรา และอีก 90% เป็นเทวดาประจำตนที่วนเวียนรอบตัวเรา เป็นเสมือนฝาแฝดที่ตามติดตัวเรา นั่นเป็นแนวคิดที่สืบทอดมาจากพราหมณ์-ฮินดู เกี่ยวกับการแบ่งภาคมาจุติของเหล่ามหาเทพ หรือที่เรียกว่า "อวตาร" กลายเป็นปางต่าง ๆ ของเหล่าเทพนั้น ซึ่งพลังงานหรือดวงจิตที่จะทำได้เช่นนั้น ต้องมีการเซ่นสรวงบูชาอย่างยิ่งแล้ว เป็นพลังศักติที่ยิ่งใหญ่แล้วเท่านั้น จึงจะสามารถทำได้ ตามความเชื่อโบราณ ดวงจิตของมนุษย์ที่พ้นภพภูมิไปเป็นเทวดาชั้นล่าง ไม่สามารถทำได้ จึงไม่อาจตีค่าได้ว่า ทุกคนเกิดมาเพราะการแบ่งสันปันส่วนของดวงจิตเทวดาของตน เป็นแนวคิดที่สร้างความเชื่อแบบที่ผิด จนเป็นที่มาของการหากินของเหล่าร่างทรงที่จะทักว่า "คุณมีองค์" "องค์เทพนั้นดูแลคุณอยู่" "ท่านแบ่งภาคมาเป็นคุณ" "คุณจะต้องเปิดเนตรครอบครูถึงจะสำเร็จ" เป็นต้น
ค้นหาเทวดาประจำตัวของคุณ
เทวดาประจำตัว เป็นสิ่งที่คุณจะรู้ได้เฉพาะตน และเทวดาแต่ละองค์ที่ดูแลคุณ ก็มีกำลังบุญ มีฤทธิ์ มีปาฏิหาริย์ที่แตกต่างกันไป หลายคนเกิดมาพร้อมกับรอยสักบางอย่าง นั่นเป็นเหตุแห่งความเชื่อที่ว่า ในตอนที่เทวดาประจำตัวของคุณยังมีชีวิต ท่านทำสัญลักษณ์ไว้กับตัวคุณ เพื่อยามที่ท่านพ้นสภาพความเป็นมนุษย์ ท่านจะกลับมาตามหาคุณในอีกภพชาติหนึ่ง หลายคนครับ ที่เมื่อยามเป็นมนุษย์สะสมกรรมดีไว้มาก และเชื่อมั่นว่าตายไปจะไปกำเนิดเป็นเทวดา เรื่องการกำเนิดเป็นเทวดานั้น ก็คล้ายคลึงกับโอปปาติกะ คือเมื่อสิ้นบุญในคราวเป็นมนุษย์ ก็อุบัติขึ้นเป็นเทวดาในทันที มิต้องอาศัยครรภ์มารดา ดังนั้นหลายคนที่สงสัยว่า จะเป็นไปได้อย่างไร ที่คนเราจะมีเทวดาประจำตัวกันทุกคน แล้วเทวดาเหล่านั้นเขาจะไปอยู่ที่ไหน คำตอบนี้เชื่อมโยงกับแนวคิดที่ว่า เทวดาสามารถประจำอยู่ได้หลายสถาน เทวดาที่มีกำลังบุญสูงจะสามารถสร้างวิมานของตนเองได้ในอากาศ จะสูงมากน้อยขึ้นอยู่กับกำลังบุญ และถูกแบ่งออกเป็นชั้น ๆ ดังเช่นที่เราท่านทราบกัน รวมถึงฤทธิ์เดชที่เกิดจากอำนาจฌานบารมีที่สั่งสมมาอีกด้วย สำหรับเทวดาชั้นล่าง จะอยู่ใกล้กับมนุษย์มากที่สุด และอาจมีกิเลสเจือปนได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ สถิตอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ตามบ้านเรือน หรือที่เราเรียกว่า "ผีบ้านผีเรือน" ตามศาลเจ้า หรือที่เราเรียกว่า "เจ้าที่เจ้าทาง" อยู่ตามพระพุทธรูปประจำบ้าน พระพุทธรูปประจำวัด สถูปเจดีย์ พุทธสถาน รูปปั้นต่าง ๆ ฯลฯ เทวดา จะมีสถานที่หรือรูปสังขาร เพื่อสิงสถิต ต่างกับสัมภเวสีผีเปรต ที่เป็นดวงวิญญาณเร่ร่อน มิอาจอยู่เป็นหลักแหล่งได้ ต่างกับวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ที่ถูกจัดที่ไว้สำหรับต้อนรับ เซ่นไหว้ และอุทิศบุญ กล่าวถึงตรงนี้ หลายคนคงพอนึกออกนะครับว่า การที่ใครจะเป็นเทวดาประจำตนของเรา ย่อมมีสิ่งยึดเหนี่ยวคือ "กรรมสัมพันธ์" ในอดีต เป็นตัวตั้ง กายมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนเครื่องจักรชนิดหนึ่ง ที่หากดวงจิตใดที่อยู่ในกายสามารถขับเคลื่อนบริหารจัดการได้อย่างถูกวิธี จะสามารถเพิ่มบารมี และทำให้พลังงานวิสุทธิ์ขึ้นได้ ในยามที่เราถือกำเนิด เมื่อมีการปฏิสนธิ ดวงจิต หรือวิญญาณ หรือพลังงานของเราก็เข้าสู่กระบวนการนี้ด้วยเช่นกัน และผู้ปกปักรักษาคุ้มครองเรา ก็คือเทวดาประจำตัวที่มีกรรมสัมพันธ์กับเรานั่นเอง เทวดาของคุณ ท่านอาจจะมีวิมานเป็นของตน ท่านอาจจะสิงสถิตอยู่ที่บ้านเรือนของคุณ ท่านอาจจะสิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ในบ้านคุณ หรือท่านอาจจะสิงสถิตที่พระพุทธรูปในบ้านคุณก็เป็นได้ อย่างที่ผู้เขียนกล่าวว่า "แล้วแต่บุญ แล้วแต่กรรม ของคุณและเทวดาประจำตัวคุณ" นั่นเอง ซึ่งการพ้นภพภูมิและถือกำเนิดของดวงจิตนั้น เป็นเรื่องที่กว้างมาก ไม่อาจจะเล่าหมดได้ในเวลาจำกัดเช่นนี้ ไว้มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมนะครับ ในส่วนของความเชื่อที่ว่า เทวดาท่านแบ่งภาคแบ่งจิตมาเกิดเป็นคุณ อยากให้พิจารณาความเป็นไปได้ให้มาก การแบ่งจิตหรือที่เรียกว่า อวตาร นั้น กระทำได้ในพลังงานที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ เป็นมหาเทพ หรือเทพชั้นปกครองที่มีผู้คนกราบไหว้บูชาเป็นนิจ การกราบไหว้บูชานี้ก็เป็นเสมือนการเติมพลังให้แก่เหล่าเทพนั้น เพราะดวงจิตของมนุษย์หลายต่อหลายดวงมารวมกัน จึงทำให้มีกำลังมาก การบูชา สรรเสริญ จะเกิดฤทธานุภาพ และดวงจิตที่ถูกแบ่งมาจุติ หรือการอวตารของเหล่ามหาเทพนั้น จะต้องเป็นผู้มีบุญญาบารมีมากพอสมควร ซึ่งคนธรรมดามิอาจทำได้ครับ ที่เห็นมากก็เป็นเหล่าพระอริยสงฆ์ในอดีต หรือบูรพมหากษัตริย์นั่นเองครับ
เทวดาประจำตัวอาจเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณ
หลายครั้งที่แนวคิดเรื่องของเทวดาประจำตัว จะปกป้องภัยอันตรายให้กับคุณ รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรของคุณด้วย แต่ก็มิอาจเลี่ยงได้ว่า ในบางครั้งเจ้ากรรมนายเวรของคุณก็คือเทวดาประจำตัวคุณเองเช่นเดียวกัน ซึ่งมันเป็นเรื่องของกรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ บางคนทำสัญญากันว่า ถ้าฉันได้เกิดเป็นมนุษย์ ให้ท่านคอยตามดูแลฉัน แต่เมื่อใดที่ท่านเกิดเป็นมนุษย์ ฉันจะคอยตามดูแลท่าน แบบนี้ก็มี บางคนเมื่อพ้นภพภูมิไปแล้ว ก็ไปรอคอยการเกิดของคนที่ตนเองรัก เพื่อทำสัญญาเป็นเทวดาประจำตัวก็มี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นฐานจากการกระทำในอดีตทั้งสิ้น ดังนั้นแล้ว หากคุณจะอุทิศส่วนกุศลทั้งหมดให้เทวดาประจำตน จึงเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างสนิทใจ เพราะท่านเหล่านั้น ต้องเป็นใครที่มีตัวตนสำหรับคุณในอดีตอย่างแน่นอน อย่างเช่นตัวผู้เขียนเอง เวลาที่กินเที่ยวจนเกินพอดี เทวดาประจำตัวท่านก็ทำโทษ ทำให้เสียทรัพย์สินเงินทอง โทรศัพท์บ้าง กระเป๋าสตางค์บ้าง และมาปรากฏให้เห็นจนเพื่อนทักบ่อยครั้งเช่นว่า "อ้าว วันนี้มากับใคร แล้วพี่เค้าไปไหน เข้าห้องน้ำหรอ เห็นคนยืนด้านหลังตัวใหญ่ๆ" หรือบางครั้งพนักงานเสิร์ฟนำแก้วมาให้ 2 ใบ เป็นประจำแล้วบอกเราว่า ก็พี่มาสองคน และทุกครั้งที่ถูกทักเช่นนี้ จะมีเรื่องเสียทรัพย์สินเงินทองเกิดกับตัวผู้เขียนทุกครั้ง พอครั้งที่ 4 ผู้เขียนจึงมั่นใจ และตั้งแต่นั้น ก็ฝึกปฏิบัติมากขึ้นเวลาที่ทำได้ และเวลาสรวลเสเฮฮากับเพื่อนก็จะประคับประคองสติเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดความประมาทนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น