กำเนิดพระนามภูริทัต (พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาค ตอนที่ 3)
กำเนิดพระนามภูริทัต พญานาคพระโพธิสัตว์
(พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาค ตอนที่ 3)
ฝ่ายพระโอรสทั้ง 4 องค์ เมื่อถึงแก่ความรู้เดียงสาแล้ว ท้าวธตรฐพระบิดาทรงประทานยศและราชสมบัติแห่งละ 100 โยชน์ (ก็ตก 1,600 กิโลเมตร) นางนาคมาณวิกา (นาคสาว) พากันแวดล้อมแห่งละ 16,000 ตน เมื่อแบ่งกันแล้วพระบิดาได้เหลือราชสมบัติ 101 โยชน์เท่านั้น พระโอรสทั้ง 3 จะกลับมาเพื่อเฝ้าพระมารดาบิดาทุกเดือน มีเพียงพระทัตตะนาค (พระโพธิสัตว์) ที่มาทุกกึ่งเดือน (ครึ่งเดือน) พระทัตตะนาค ได้กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในนาคพิภพ จึงเสด็จพร้อมกับพระบิดาไปสู่ที่อุปัฏฐากของท้าววิรูปักษ์มหาราช (ท้าววิรูปักษ์คือ 1 ใน 4 จตุโลกบาล เทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา) พระองค์ได้กล่าวแม้ปัญหาที่ตั้งขึ้นในสำนักของนาคพิภพนั้น ก็ทรงแก้ปัญหาได้ทั้งหมด เมื่อท้าวมหาราชวิรูปักข์ พร้อมด้วยนาคบริวารไปยังไตรทศบุรี (วิมานของท้าวสักกะเทวราช) นั่งแวดล้อมท้าวสักกะเทวราช ได้ถกปัญหาขึ้นในระหว่างหมู่เทพทั้งหลาย ซึ่งใครก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ มีเพียงพระทัตตะนาคเท่านั้นที่แก้ได้
ลำดับนั้น ท้าวสักกะพระเทวราชา จึงทรงบูชา พระโพธิสัตว์นั้น ด้วยของหอมและดอกไม้อันเป็นทิพย์ แล้วตรัสว่า “พ่อทัตตะ ท่านประกอบด้วยปัญญาอันไพบูลย์เสมอด้วยแผ่นดิน ตั้งแต่นี้ไปท่านจงชื่อว่า ภูริทัต” ตั้งแต่นั้นมาท่านได้ไปสู่ที่อุปัฏฐากของท้าวสักกะเทวราช เห็นเวชยันตปราสาทอันประดับประดาไว้ และสมบัติของท้าวสักกะอันน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก เกลื่อนกล่นไปด้วยนางเทพอัปสร ทำความปรารถนาในเทวโลกแล้วคิดว่า “เราจะประโยชน์อะไรด้วยอัตภาพนี้” แล้วกลับไปสู่ภพนาค เพราะความปรารถนาจะไปเกิดในเทวโลก จึงทูลลาพระมารดาและพระบิดาว่า “พระแม่ พ่อ หม่อมฉันจะกระทำอุโบสถกรรม” (การถืออุโบสถศีล)
พระมารดาพระบิดาตรัสว่า “ดีละพ่อ จงทำเถิด ก็เมื่อเจ้าจะทำ เจ้าอย่าไปภายนอก จงกระทำในวิมานอันว่างแห่งหนึ่งในภพนาคนี้แล ก็เมื่อพวกนาคไปข้างนอก ภัยใหญ่ย่อมเกิดขึ้น” (คือให้ทำอยู่ในนาคพิภพนี่อย่าออกไปภายนอกจะเป็นภัยเอาได้) พระโพธิสัตว์ทูลรับว่า “ดีละ แล้วอยู่จำอุโบสถในพระราชอุทยาน ในวิมานอันว่างนั้นนั่นเอง”
ลำดับนั้น เหล่านางนาคมาณวิกาต่างถือเครื่องดนตรีบรรเลงแวดล้อมพระภูริทัต พระองค์จึงทรงคิดว่า “เมื่อเราอยู่ในที่นี้ อุโบสถจักไม่ถึงที่สุด เราจะไปถิ่นมนุษย์ กระทำอุโบสถ” และไม่ได้บอกแก่พระมารดาและพระบิดา เพราะกลัวจะถูกห้าม จึงเรียกภรรยาทั้งหลายของตนมากล่าวว่า “นางผู้เจริญ ฉันจะไปโลกมนุษย์ ขดขนด (เข้าสมาธิ) บนจอมปลวก ไม่ไกลแต่ที่ที่ต้นไทรใหญ่มีอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำยมุนา จักอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 4 นอนกระทำอุโบสถกรรม เมื่อเรานอนทำอุโบสถกรรมตลอดคืนยันรุ่ง ในเวลาอรุณขึ้นนั่นแล พวกเจ้าผู้เป็นสตรี ถือดนตรีครั้งละ 10 นาง จงผลัดเปลี่ยนกันไปยังสำนักของเรา บูชาเราด้วยของหอมและดอกไม้ ขับฟ้อนแล้วกลับมายังภพนาคตามเดิม” กล่าวดังนี้แล้วเสด็จขึ้นไปขนดบนจอมปลวก แล้วอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 4 ว่า “ผู้ใดปรารถนา หนัง เอ็น กระดูก หรือเลือด ผู้นั้นจงนำไปเถิด” แล้วนิรมิตร่างประมาณเท่างอนไถ (งอนไถเป็นชื่อดาวฤกษ์มฆา มี 5 ดวง คือ ดาวงอนไถ ดาวงูผู้ ดาวโคมูตร ดาววานร ดาวมฆะ หรือ ดาวมาฆะ คนสมัยใหม่มักไม่รู้จัก) นอนกระทำอุโบสถกรรม พออรุณขึ้น นางมาณวิกามาปรนนิบัติพระโพธิสัตว์ตามคำพร่ำสอน แล้วกลับสู่ภพนาค
เมื่อพระโพธิสัตว์กระทำอุโบสถกรรมตามทำนองนี้ ระยะเวลาก็ผ่านไปยาวนาน (จบอุโบสถกัณฑ์)
(พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาค ตอนที่ 3)
ฝ่ายพระโอรสทั้ง 4 องค์ เมื่อถึงแก่ความรู้เดียงสาแล้ว ท้าวธตรฐพระบิดาทรงประทานยศและราชสมบัติแห่งละ 100 โยชน์ (ก็ตก 1,600 กิโลเมตร) นางนาคมาณวิกา (นาคสาว) พากันแวดล้อมแห่งละ 16,000 ตน เมื่อแบ่งกันแล้วพระบิดาได้เหลือราชสมบัติ 101 โยชน์เท่านั้น พระโอรสทั้ง 3 จะกลับมาเพื่อเฝ้าพระมารดาบิดาทุกเดือน มีเพียงพระทัตตะนาค (พระโพธิสัตว์) ที่มาทุกกึ่งเดือน (ครึ่งเดือน) พระทัตตะนาค ได้กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในนาคพิภพ จึงเสด็จพร้อมกับพระบิดาไปสู่ที่อุปัฏฐากของท้าววิรูปักษ์มหาราช (ท้าววิรูปักษ์คือ 1 ใน 4 จตุโลกบาล เทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา) พระองค์ได้กล่าวแม้ปัญหาที่ตั้งขึ้นในสำนักของนาคพิภพนั้น ก็ทรงแก้ปัญหาได้ทั้งหมด เมื่อท้าวมหาราชวิรูปักข์ พร้อมด้วยนาคบริวารไปยังไตรทศบุรี (วิมานของท้าวสักกะเทวราช) นั่งแวดล้อมท้าวสักกะเทวราช ได้ถกปัญหาขึ้นในระหว่างหมู่เทพทั้งหลาย ซึ่งใครก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ มีเพียงพระทัตตะนาคเท่านั้นที่แก้ได้
ลำดับนั้น ท้าวสักกะพระเทวราชา จึงทรงบูชา พระโพธิสัตว์นั้น ด้วยของหอมและดอกไม้อันเป็นทิพย์ แล้วตรัสว่า “พ่อทัตตะ ท่านประกอบด้วยปัญญาอันไพบูลย์เสมอด้วยแผ่นดิน ตั้งแต่นี้ไปท่านจงชื่อว่า ภูริทัต” ตั้งแต่นั้นมาท่านได้ไปสู่ที่อุปัฏฐากของท้าวสักกะเทวราช เห็นเวชยันตปราสาทอันประดับประดาไว้ และสมบัติของท้าวสักกะอันน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก เกลื่อนกล่นไปด้วยนางเทพอัปสร ทำความปรารถนาในเทวโลกแล้วคิดว่า “เราจะประโยชน์อะไรด้วยอัตภาพนี้” แล้วกลับไปสู่ภพนาค เพราะความปรารถนาจะไปเกิดในเทวโลก จึงทูลลาพระมารดาและพระบิดาว่า “พระแม่ พ่อ หม่อมฉันจะกระทำอุโบสถกรรม” (การถืออุโบสถศีล)
พระมารดาพระบิดาตรัสว่า “ดีละพ่อ จงทำเถิด ก็เมื่อเจ้าจะทำ เจ้าอย่าไปภายนอก จงกระทำในวิมานอันว่างแห่งหนึ่งในภพนาคนี้แล ก็เมื่อพวกนาคไปข้างนอก ภัยใหญ่ย่อมเกิดขึ้น” (คือให้ทำอยู่ในนาคพิภพนี่อย่าออกไปภายนอกจะเป็นภัยเอาได้) พระโพธิสัตว์ทูลรับว่า “ดีละ แล้วอยู่จำอุโบสถในพระราชอุทยาน ในวิมานอันว่างนั้นนั่นเอง”
ลำดับนั้น เหล่านางนาคมาณวิกาต่างถือเครื่องดนตรีบรรเลงแวดล้อมพระภูริทัต พระองค์จึงทรงคิดว่า “เมื่อเราอยู่ในที่นี้ อุโบสถจักไม่ถึงที่สุด เราจะไปถิ่นมนุษย์ กระทำอุโบสถ” และไม่ได้บอกแก่พระมารดาและพระบิดา เพราะกลัวจะถูกห้าม จึงเรียกภรรยาทั้งหลายของตนมากล่าวว่า “นางผู้เจริญ ฉันจะไปโลกมนุษย์ ขดขนด (เข้าสมาธิ) บนจอมปลวก ไม่ไกลแต่ที่ที่ต้นไทรใหญ่มีอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำยมุนา จักอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 4 นอนกระทำอุโบสถกรรม เมื่อเรานอนทำอุโบสถกรรมตลอดคืนยันรุ่ง ในเวลาอรุณขึ้นนั่นแล พวกเจ้าผู้เป็นสตรี ถือดนตรีครั้งละ 10 นาง จงผลัดเปลี่ยนกันไปยังสำนักของเรา บูชาเราด้วยของหอมและดอกไม้ ขับฟ้อนแล้วกลับมายังภพนาคตามเดิม” กล่าวดังนี้แล้วเสด็จขึ้นไปขนดบนจอมปลวก แล้วอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 4 ว่า “ผู้ใดปรารถนา หนัง เอ็น กระดูก หรือเลือด ผู้นั้นจงนำไปเถิด” แล้วนิรมิตร่างประมาณเท่างอนไถ (งอนไถเป็นชื่อดาวฤกษ์มฆา มี 5 ดวง คือ ดาวงอนไถ ดาวงูผู้ ดาวโคมูตร ดาววานร ดาวมฆะ หรือ ดาวมาฆะ คนสมัยใหม่มักไม่รู้จัก) นอนกระทำอุโบสถกรรม พออรุณขึ้น นางมาณวิกามาปรนนิบัติพระโพธิสัตว์ตามคำพร่ำสอน แล้วกลับสู่ภพนาค
เมื่อพระโพธิสัตว์กระทำอุโบสถกรรมตามทำนองนี้ ระยะเวลาก็ผ่านไปยาวนาน (จบอุโบสถกัณฑ์)
---------------------
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ
พญานาค จากตำนานสู่ความเชื่อ
ดูรีวิวและช่องทางการสั่งซื้อ << คลิก >> 👇
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น