ข้อสันนิษฐานการถือกำเนิดขึ้นของเหล่าเทพ "พญานาค จากตำนานสู่ความเชื่อ"
ข้อสันนิษฐานการถือกำเนิดขึ้นของเหล่าเทพ
เมื่อกล่าวถึงตำนานเทพเทวาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกรีกปกรณัม หรือตำนานเทพของฝ่ายพราหมณ์-ฮินดู หรือจะเป็นเทวนิกายใดก็ตามบนโลก ล้วนเกิดขึ้นจากบันทึกเรื่องราว รูปปั้น เทวรูป สถูปสถานเพื่อการสักการะบูชา ที่เราท่านทั้งหลายรับสืบทอดกันมาจากโบราณกาล แต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า แล้วตำนานเหล่านั้นมันเกิดขึ้นจากใคร ในที่นี้เราจะกล่าวถึงกันแต่เพียงตำนานของพราหมณ์-ฮินดู นะครับ เพราะเห็นว่าจะเป็นอิทธิพลใหญ่ต่อจิตใจของคนไทยอย่างที่สุดถึงที่สุดแล้ว
จริงแล้วพอจะกล่าวถึงเรื่องนี้ผู้เขียนอาจจะต้องอธิบายยาวสักหน่อย ให้ได้เห็นภาพตามกันเป็นลำดับ กล่าวคือ ในห้วงจักรวาล มีสิ่งต่างๆ มากมายที่ทำให้มนุษย์เราค้นหาและอยากพิสูจน์ แม้กระทั่งวิทยาการในปัจจุบันจะพัฒนาก้าวไกลไปมากเพียงใด แต่ความลับในห้วงจักรวาล ก็ยังคงเป็นปริศนาที่ท้าทายไม่มีวันสิ้นสุด ในทางวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ถึงที่มาของพลังงานหลายอย่างได้ แต่ก็ยังไม่สามารถค้นพบต้นกำเนิดของพลังงานอีกมากมายได้เช่นกัน ในยุคโบราณ กลุ่มคนหรือชนเผ่า มักจะมีผู้เยียวยา หรือผู้นำแห่งศรัทธา คนเหล่านั้นอาจจะมีแนวคิด วิถีการปฏิบัติที่แปลกแยก เช่นการบำเพ็ญเพียร เป็นนักพรต เป็นฤาษี เป็นผู้คงวิชาประจำหมู่บ้านก็ตาม เรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของการปฏิบัติสมาธิในรูปแบบต่าง ๆ ก็ว่าได้ การมีปัญญาที่เฉียบคบ จึงสามารถชักนำ ถ่ายทอดความรู้ของตนจากรุ่นสู่รุ่น และการฝึก การบำเพ็ญ จึงทำให้เข้าถึงพลังงานของห้วงจักรวาล ที่หลั่งไหลมาสู่พื้นโลกได้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งในศาสตร์ของพราหมณ์-ฮินดู จะเรียกพลังเหล่านี้ “พลังศักติ” ในความเชื่อที่ว่าเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นพลังแห่งพระผู้สร้างที่ประทานมาสู่โลกมนุษย์นั่นเอง
เมื่อมีการหลั่งไหล หรือการอุบัติขึ้นของพลังศักติบนพื้นโลก จึงมีการถือกำเนิดความเชื่อถือศรัทธาในเวลาต่อมา ตามบันทึกโบราณ เพื่อคุรุท่านแรก ๆ เริ่มค้นพบพลังศักติ และได้รับการถ่ายทอดความเชื่อจากนิมิตของตน จึงถ่ายทอดเรื่องราวเป็นตำนานเทพต่าง ๆ และที่เห็นได้ชัดคือ การนับถือบูชาเทวะสูงสุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ก็ยังแตกออกไปเป็น 3 นิกายด้วยกัน ซึ่งความแตกต่างของการที่จะยกเอามหาเทพองค์ใดเป็นปฐม หรือเป็นใหญ่ที่สุดนั่นเอง
เมื่อมีครูบาอาจารย์ ก็ย่อมเกิดความเชื่อ เมื่อมีความเชื่อก็มีการสร้าง ไม่ว่าจะสร้างเทวรูป สร้างสื่อสัญลักษณ์ สร้างตำนานที่มีความเชื่อมโยงเพิ่มมากขึ้น ถ้ามองให้ดีแล้ว ตำนานเกี่ยวกับเหล่าเทพทั้งหลาย ไม่ต่างจากวรรณกรรมเล่มใหญ่ที่บอกเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดส่งต่อกันมานั่นเอง ซึ่งกล่าวมาถึงตรงนี้ เราจะสรุปได้ว่า “อ้าว งั้นเรื่องราวของเทพเจ้าก็เป็นเรื่องโกหกน่ะสิ” แบบนี้ก็ไม่ได้เสียทีเดียว
เพราะเมื่อมีการสร้างเทวรูป และมีการบวงสรวงเซ่นไหว้บูชา องค์เทพเหล่านั้นจึงจุติขึ้นจริง มีพลังศักติเข้าประทับจริง และมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้จริงเช่นเดียวกัน ทำไมเหตุจึงเป็นเช่นนั้น นั่นก็เพราะดวงจิตของมนุษย์ 100 ดวง 1,000 ดวง มากไปจนถึง 1 ล้านดวง ที่เชื่อในเรื่องเดียวกัน ศรัทธาในเรื่องเดียวกัน ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เกิดเป็นไปได้ขึ้นมา พลังจิตของมนุษย์นั่นเอง ที่สร้างเหล่าเทพขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนเช่นทุกวันนี้
อีกนัยหนึ่งของการถือกำเนิดเทพก็คือ การที่บุคคลใดก็ตามในยามที่เป็นมนุษย์ ได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และฝึกตน บำเพ็ญตนจนบรรลุฌานขั้นสูง เมื่อตายไปก็จะถือกำเนิดเป็นเทพ เป็นเซียน และได้รับการกราบไหว้บูชาอีกเช่นเดียวกัน ซึ่งในลักษณะนี้ เราอาจจะเห็นได้มากทางฝั่งของประเทศจีน ที่เชื่อกันว่าผู้ที่บำเพ็ญตนจนครบภารกิจตามที่สวรรค์ประทานมาให้ จะทำให้บรรลุเป็นเซียน หรือผู้ที่อุทิศตนเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น เมื่อสิ้นบุญไปแล้ว ก็จะไปถือกำเนิดเป็นเทพเซียน หรือได้รับการพิจารณาจากสวรรค์ให้เป็นเซียนก็ตามที หรือประเทศพม่า ที่มีการกล่าวถึง “นัต” ที่มีการหยิบยกเอาวิญญาณผู้ตายขึ้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ
จากความเชื่อถือศรัทธาดังกล่าวเหล่านี้เราจะเห็นได้ว่า ตำนานการถือกำเนิดของเหล่าเทพทั้งหลายบนพื้นโลก สามารถเกิดได้จากสิ่งที่มนุษย์อุปโลกน์ขึ้น ตกแต่งตำนานขึ้น หรืออาจจะเป็นผู้ที่มีวีรกรรมอันดีงาม ที่เมื่อตายจากโลกนี้ไปก็จะถือกำเนิดเป็นเทพหรือเซียนในความเชื่อของฝ่ายมหายานก็ตาม ดังนั้น การจะกล่าวว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด หรือจะหาข้อขัดแย้งในเรื่องตำนานความเชื่อมากล่าวอ้างนั้น จึงเป็นเรื่องที่เถียงกันไม่จบอย่างแน่นอน เวลาที่เราศึกษาตำนานความเชื่อ เราจึงไม่ควรปักใจและตั้งมั่นในความเชื่อเหล่านั้นจนเกินไป ให้ดูความเป็นจริงบางประการของโลกอย่างที่ควรจะเป็นไปได้ เพื่อสร้างความเข้าใจประกอบไปด้วย
ในหลายเรื่องเล่าเมื่อครั้งพุทธกาล ก็มีการกล่าวถึงเหล่าเทพเทวดาทั้งหลายประกอบเป็นนิจ นั่นเพราะความเชื่อเกี่ยวกับเทพพราหมณ์ถือกำเนิดมาก่อนพุทธศาสนานั่นเอง จึงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลักคำสอนหลายประการของศาสนาพุทธ ก็ถือกำเนิดมาจากพราหมณ์ - ฮินดู อันเชื่อมโยงสอดคล้อง และได้กลายมาเป็นสัจธรรมที่ประเสริฐสูงสุด เป็นหนทางดับทุกข์อย่างแท้จริง
ด้วยความเข้าใจในเรื่องของการกำเนิดเทพแล้ว เราก็มิอาจยืนยันถึงการไม่มีอยู่จริงของเหล่าเทพพรหเหล่านั้นได้ เพราะท่านเหล่านั้นได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัย หรือกลอุบายใดของเหล่านักบวช ฤาษี ในบรรพกาลก็ตาม เหตุที่ว่านั้นก็เพราะในอดีต มีการกล่าวกันว่าเหล่าผู้บำเพ็ญตน จะสามารถหยิบยืมหรือใช้พลังจากห้วงจักรวาลได้ดั่งใจปรารถนา สามารถเล่นแร่แปรธาตุได้ดั่งใจ ถ้าจะพูดกันในคำที่ทันสมัยในแบบฝั่งยุโรปอเมริกาก็คือ “พลังคอสมิค” พลังเหล่านี้หลั่งไหลถ่ายเทลงมาสู่พื้นโลก ในขณะที่พลังจากใต้พื้นโลกก็ประทุขึ้นสู่จักรวาล หมุนวนเป็นวัฏจักร และเชื่อกันว่าผู้ที่สามารถรับเอามา ถ่ายทอด ส่งผ่านออกไปได้ก็คือมนุษย์เกี่ยวกับเคมีในสมองและร่างกายของคนเรานี่เอง
มีบันทึกเกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์มีกลไกที่สามารถสัมผัส รับรู้ สื่อสาร รับเข้าและถ่ายเทพลังงานเหล่านี้ได้ นี่จึงเป็นเคล็ดวิชาของเหล่าฤาษีชีพราหมณ์ในอดีต ที่สามารถเล่นแร่แปรธาตุ ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง และเนรมิตบิดเบือดได้ ถ้าเป็นทางยุโรปจะถูกเรียกว่า “พ่อมด-แม่มด” และด้วยเหตุดังนี้ ถึงมีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับครูบาอาจารย์เหล่านั้น และเรื่องราวที่คุรุท่านสั่งสอนส่งต่อในเรื่องตำนานมหาเทพในแบบต่าง ๆ กันนั่นเอง ว่ากันว่า เรื่องราวลี้ลับเหล่านี้ คนธรรมดามิอาจสัมผัสได้ ต้องเป็นผู้ที่ฝึกฝนตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อเข้าถึง สื่อสาร และมองเห็นพลังงานเหล่านี้ ด้วยเพราะการฝึกตนของเหล่าคุรุในอดีตนั้น ไม่เหมือนการปฏิบัติของผู้ทรงศีลในปัจจุบัน ในอดีตมีการทรมานตน หรือที่เรียกว่า “ทุกรกิริยา” การมีจิตตั้งมั่น และกายมานะ เพื่อให้บรรลุคำขอหรือพรใด ๆ จากมหาเทพเทวี และยังมีอีกหนึ่งความเชื่อที่ว่า ต่อให้ร่างกายมนุษย์ เป็นที่ส่งผ่านของพลังศักดิ์สิทธิ์จากห้วงจักรวาลได้มากเพียงใด (พลังศักติ) ก็ไม่สามารถกักเก็บไว้ได้นาน ร่างกายมนุษย์ เหมาะที่จะเป็นทางผ่าน ไม่เหมาะที่จะสะสมไว้ จึงเกิดเทวรูป รูปปั้น และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประจุพลังศักติเอาไว้ให้คนกราบไหว้ขอพร ดังเช่น การสร้างเจดีย์ การสร้างพีระมิด การสร้างวิหาร ที่ภายใต้ฐานจะมีมวลแร่ธาตุสำคัญเพื่อรองรับพลังงานจากห้วงจักรวาลนั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็น “พลังศักติ” “พลังคอสมิค” หรือสายวิชา “พลังจักรวาล” ล้วนมีที่มาที่ไปเดียวกัน เป็นแนวคิดความเชื่อเดียวกัน ต่างกันที่วิธีการปฏิบัติและผลของมันเท่านั้น ในประเทศไทยบ้างเรียกว่า “พลังกายทิพย์” แต่ถ้าเป็นในสายวิชาของชาวจีนจะเรียกว่า “พลังลมปราณ” หรือ “ชี่กง” นั่นเอง เหมือนกับเวลาที่เราดูหนังกำลังภายใน แล้วจะมีคำเรียกที่ว่า “ปราณเซียน” นั่นเป็นเพราะการฝึกฝนเกี่ยวกับพลังที่หมุนวนภายในร่างกาย จนสามารถทำให้เกิดอภินิหารต่าง ๆ ได้
ทั้งหมดนี้ เราพอจะสรุปการถือกำเนิดของเหล่าเทพเทวีได้ดังนี้
(1.) เกิดจากเหล่าคุรุดึงเอาพลังงานบริสุทธิ์จากห้วงจักรวาลมาสถิตในเทวรูป และแต่งตำนานความเชื่อต่าง ๆ เพื่อให้คนรุ่นหลังกราบไหว้บูชา และก็เป็นเรื่องน่าแปลกนะครับว่า ตำนานของเหล่าเทพเทวีเหล่านั้น ยังคงเจือไปด้วยกิเลส ความรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ต่างจากมนุษย์สักเท่าไหร่นัก
(2.) ถือกำเนิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เช่นต้นไม้ใหญ่ สัตว์ที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ หรือภัยธรรมชาติที่ทำให้กลัว และยกย่องสิ่งหรือเหตุเหล่านั้นขึ้นเป็นเทพเจ้า
(3.) การบำเพ็ญตนของมนุษย์เพื่อสิ้นสุดการหลุดพ้นจากกรรมเวรในปัจจุบันแล้วจะกลายเป็นเทพเซียนตามความเชื่อถือศรัทธา
และนี่ก็เป็นต้นกำเนิดของเหล่าเทพเทวี รวมถึงอิทธิพลของความเชื่อของมนุษย์ที่เป็นจุดกำเนิดของศาสนา อารยธรรม ประเพณี และวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง และเหตุปัจจัยเหล่านี้ ก็เป็นต้นตอของเรื่องราวลี้ลับของเหล่าพญานาคตามความเชื่อของคนไทยนั่นเองครับ เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น อะไรคือต้นกำเนิดความเชื่อเหล่านี้ สถานการณ์สำคัญที่เราคนไทยเชื่อว่าเป็นเหตุอันเกิดจากพญานาค เช่น บั้งไฟพญานาค หรือการเคลื่อนไหวตัวในน้ำ สิ่งผิดธรรมชาติใด หรือการนิมิตของเหล่าพระอริยสงฆ์ หนังสือเล่มนี้อาจมีคำตอบสำหรับคุณ
เมื่อกล่าวถึงตำนานเทพเทวาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกรีกปกรณัม หรือตำนานเทพของฝ่ายพราหมณ์-ฮินดู หรือจะเป็นเทวนิกายใดก็ตามบนโลก ล้วนเกิดขึ้นจากบันทึกเรื่องราว รูปปั้น เทวรูป สถูปสถานเพื่อการสักการะบูชา ที่เราท่านทั้งหลายรับสืบทอดกันมาจากโบราณกาล แต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า แล้วตำนานเหล่านั้นมันเกิดขึ้นจากใคร ในที่นี้เราจะกล่าวถึงกันแต่เพียงตำนานของพราหมณ์-ฮินดู นะครับ เพราะเห็นว่าจะเป็นอิทธิพลใหญ่ต่อจิตใจของคนไทยอย่างที่สุดถึงที่สุดแล้ว
จริงแล้วพอจะกล่าวถึงเรื่องนี้ผู้เขียนอาจจะต้องอธิบายยาวสักหน่อย ให้ได้เห็นภาพตามกันเป็นลำดับ กล่าวคือ ในห้วงจักรวาล มีสิ่งต่างๆ มากมายที่ทำให้มนุษย์เราค้นหาและอยากพิสูจน์ แม้กระทั่งวิทยาการในปัจจุบันจะพัฒนาก้าวไกลไปมากเพียงใด แต่ความลับในห้วงจักรวาล ก็ยังคงเป็นปริศนาที่ท้าทายไม่มีวันสิ้นสุด ในทางวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ถึงที่มาของพลังงานหลายอย่างได้ แต่ก็ยังไม่สามารถค้นพบต้นกำเนิดของพลังงานอีกมากมายได้เช่นกัน ในยุคโบราณ กลุ่มคนหรือชนเผ่า มักจะมีผู้เยียวยา หรือผู้นำแห่งศรัทธา คนเหล่านั้นอาจจะมีแนวคิด วิถีการปฏิบัติที่แปลกแยก เช่นการบำเพ็ญเพียร เป็นนักพรต เป็นฤาษี เป็นผู้คงวิชาประจำหมู่บ้านก็ตาม เรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของการปฏิบัติสมาธิในรูปแบบต่าง ๆ ก็ว่าได้ การมีปัญญาที่เฉียบคบ จึงสามารถชักนำ ถ่ายทอดความรู้ของตนจากรุ่นสู่รุ่น และการฝึก การบำเพ็ญ จึงทำให้เข้าถึงพลังงานของห้วงจักรวาล ที่หลั่งไหลมาสู่พื้นโลกได้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งในศาสตร์ของพราหมณ์-ฮินดู จะเรียกพลังเหล่านี้ “พลังศักติ” ในความเชื่อที่ว่าเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นพลังแห่งพระผู้สร้างที่ประทานมาสู่โลกมนุษย์นั่นเอง
เมื่อมีการหลั่งไหล หรือการอุบัติขึ้นของพลังศักติบนพื้นโลก จึงมีการถือกำเนิดความเชื่อถือศรัทธาในเวลาต่อมา ตามบันทึกโบราณ เพื่อคุรุท่านแรก ๆ เริ่มค้นพบพลังศักติ และได้รับการถ่ายทอดความเชื่อจากนิมิตของตน จึงถ่ายทอดเรื่องราวเป็นตำนานเทพต่าง ๆ และที่เห็นได้ชัดคือ การนับถือบูชาเทวะสูงสุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ก็ยังแตกออกไปเป็น 3 นิกายด้วยกัน ซึ่งความแตกต่างของการที่จะยกเอามหาเทพองค์ใดเป็นปฐม หรือเป็นใหญ่ที่สุดนั่นเอง
เมื่อมีครูบาอาจารย์ ก็ย่อมเกิดความเชื่อ เมื่อมีความเชื่อก็มีการสร้าง ไม่ว่าจะสร้างเทวรูป สร้างสื่อสัญลักษณ์ สร้างตำนานที่มีความเชื่อมโยงเพิ่มมากขึ้น ถ้ามองให้ดีแล้ว ตำนานเกี่ยวกับเหล่าเทพทั้งหลาย ไม่ต่างจากวรรณกรรมเล่มใหญ่ที่บอกเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดส่งต่อกันมานั่นเอง ซึ่งกล่าวมาถึงตรงนี้ เราจะสรุปได้ว่า “อ้าว งั้นเรื่องราวของเทพเจ้าก็เป็นเรื่องโกหกน่ะสิ” แบบนี้ก็ไม่ได้เสียทีเดียว
เพราะเมื่อมีการสร้างเทวรูป และมีการบวงสรวงเซ่นไหว้บูชา องค์เทพเหล่านั้นจึงจุติขึ้นจริง มีพลังศักติเข้าประทับจริง และมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้จริงเช่นเดียวกัน ทำไมเหตุจึงเป็นเช่นนั้น นั่นก็เพราะดวงจิตของมนุษย์ 100 ดวง 1,000 ดวง มากไปจนถึง 1 ล้านดวง ที่เชื่อในเรื่องเดียวกัน ศรัทธาในเรื่องเดียวกัน ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เกิดเป็นไปได้ขึ้นมา พลังจิตของมนุษย์นั่นเอง ที่สร้างเหล่าเทพขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนเช่นทุกวันนี้
อีกนัยหนึ่งของการถือกำเนิดเทพก็คือ การที่บุคคลใดก็ตามในยามที่เป็นมนุษย์ ได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และฝึกตน บำเพ็ญตนจนบรรลุฌานขั้นสูง เมื่อตายไปก็จะถือกำเนิดเป็นเทพ เป็นเซียน และได้รับการกราบไหว้บูชาอีกเช่นเดียวกัน ซึ่งในลักษณะนี้ เราอาจจะเห็นได้มากทางฝั่งของประเทศจีน ที่เชื่อกันว่าผู้ที่บำเพ็ญตนจนครบภารกิจตามที่สวรรค์ประทานมาให้ จะทำให้บรรลุเป็นเซียน หรือผู้ที่อุทิศตนเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น เมื่อสิ้นบุญไปแล้ว ก็จะไปถือกำเนิดเป็นเทพเซียน หรือได้รับการพิจารณาจากสวรรค์ให้เป็นเซียนก็ตามที หรือประเทศพม่า ที่มีการกล่าวถึง “นัต” ที่มีการหยิบยกเอาวิญญาณผู้ตายขึ้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ
จากความเชื่อถือศรัทธาดังกล่าวเหล่านี้เราจะเห็นได้ว่า ตำนานการถือกำเนิดของเหล่าเทพทั้งหลายบนพื้นโลก สามารถเกิดได้จากสิ่งที่มนุษย์อุปโลกน์ขึ้น ตกแต่งตำนานขึ้น หรืออาจจะเป็นผู้ที่มีวีรกรรมอันดีงาม ที่เมื่อตายจากโลกนี้ไปก็จะถือกำเนิดเป็นเทพหรือเซียนในความเชื่อของฝ่ายมหายานก็ตาม ดังนั้น การจะกล่าวว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด หรือจะหาข้อขัดแย้งในเรื่องตำนานความเชื่อมากล่าวอ้างนั้น จึงเป็นเรื่องที่เถียงกันไม่จบอย่างแน่นอน เวลาที่เราศึกษาตำนานความเชื่อ เราจึงไม่ควรปักใจและตั้งมั่นในความเชื่อเหล่านั้นจนเกินไป ให้ดูความเป็นจริงบางประการของโลกอย่างที่ควรจะเป็นไปได้ เพื่อสร้างความเข้าใจประกอบไปด้วย
ในหลายเรื่องเล่าเมื่อครั้งพุทธกาล ก็มีการกล่าวถึงเหล่าเทพเทวดาทั้งหลายประกอบเป็นนิจ นั่นเพราะความเชื่อเกี่ยวกับเทพพราหมณ์ถือกำเนิดมาก่อนพุทธศาสนานั่นเอง จึงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลักคำสอนหลายประการของศาสนาพุทธ ก็ถือกำเนิดมาจากพราหมณ์ - ฮินดู อันเชื่อมโยงสอดคล้อง และได้กลายมาเป็นสัจธรรมที่ประเสริฐสูงสุด เป็นหนทางดับทุกข์อย่างแท้จริง
ด้วยความเข้าใจในเรื่องของการกำเนิดเทพแล้ว เราก็มิอาจยืนยันถึงการไม่มีอยู่จริงของเหล่าเทพพรหเหล่านั้นได้ เพราะท่านเหล่านั้นได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัย หรือกลอุบายใดของเหล่านักบวช ฤาษี ในบรรพกาลก็ตาม เหตุที่ว่านั้นก็เพราะในอดีต มีการกล่าวกันว่าเหล่าผู้บำเพ็ญตน จะสามารถหยิบยืมหรือใช้พลังจากห้วงจักรวาลได้ดั่งใจปรารถนา สามารถเล่นแร่แปรธาตุได้ดั่งใจ ถ้าจะพูดกันในคำที่ทันสมัยในแบบฝั่งยุโรปอเมริกาก็คือ “พลังคอสมิค” พลังเหล่านี้หลั่งไหลถ่ายเทลงมาสู่พื้นโลก ในขณะที่พลังจากใต้พื้นโลกก็ประทุขึ้นสู่จักรวาล หมุนวนเป็นวัฏจักร และเชื่อกันว่าผู้ที่สามารถรับเอามา ถ่ายทอด ส่งผ่านออกไปได้ก็คือมนุษย์เกี่ยวกับเคมีในสมองและร่างกายของคนเรานี่เอง
มีบันทึกเกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์มีกลไกที่สามารถสัมผัส รับรู้ สื่อสาร รับเข้าและถ่ายเทพลังงานเหล่านี้ได้ นี่จึงเป็นเคล็ดวิชาของเหล่าฤาษีชีพราหมณ์ในอดีต ที่สามารถเล่นแร่แปรธาตุ ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง และเนรมิตบิดเบือดได้ ถ้าเป็นทางยุโรปจะถูกเรียกว่า “พ่อมด-แม่มด” และด้วยเหตุดังนี้ ถึงมีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับครูบาอาจารย์เหล่านั้น และเรื่องราวที่คุรุท่านสั่งสอนส่งต่อในเรื่องตำนานมหาเทพในแบบต่าง ๆ กันนั่นเอง ว่ากันว่า เรื่องราวลี้ลับเหล่านี้ คนธรรมดามิอาจสัมผัสได้ ต้องเป็นผู้ที่ฝึกฝนตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อเข้าถึง สื่อสาร และมองเห็นพลังงานเหล่านี้ ด้วยเพราะการฝึกตนของเหล่าคุรุในอดีตนั้น ไม่เหมือนการปฏิบัติของผู้ทรงศีลในปัจจุบัน ในอดีตมีการทรมานตน หรือที่เรียกว่า “ทุกรกิริยา” การมีจิตตั้งมั่น และกายมานะ เพื่อให้บรรลุคำขอหรือพรใด ๆ จากมหาเทพเทวี และยังมีอีกหนึ่งความเชื่อที่ว่า ต่อให้ร่างกายมนุษย์ เป็นที่ส่งผ่านของพลังศักดิ์สิทธิ์จากห้วงจักรวาลได้มากเพียงใด (พลังศักติ) ก็ไม่สามารถกักเก็บไว้ได้นาน ร่างกายมนุษย์ เหมาะที่จะเป็นทางผ่าน ไม่เหมาะที่จะสะสมไว้ จึงเกิดเทวรูป รูปปั้น และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประจุพลังศักติเอาไว้ให้คนกราบไหว้ขอพร ดังเช่น การสร้างเจดีย์ การสร้างพีระมิด การสร้างวิหาร ที่ภายใต้ฐานจะมีมวลแร่ธาตุสำคัญเพื่อรองรับพลังงานจากห้วงจักรวาลนั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็น “พลังศักติ” “พลังคอสมิค” หรือสายวิชา “พลังจักรวาล” ล้วนมีที่มาที่ไปเดียวกัน เป็นแนวคิดความเชื่อเดียวกัน ต่างกันที่วิธีการปฏิบัติและผลของมันเท่านั้น ในประเทศไทยบ้างเรียกว่า “พลังกายทิพย์” แต่ถ้าเป็นในสายวิชาของชาวจีนจะเรียกว่า “พลังลมปราณ” หรือ “ชี่กง” นั่นเอง เหมือนกับเวลาที่เราดูหนังกำลังภายใน แล้วจะมีคำเรียกที่ว่า “ปราณเซียน” นั่นเป็นเพราะการฝึกฝนเกี่ยวกับพลังที่หมุนวนภายในร่างกาย จนสามารถทำให้เกิดอภินิหารต่าง ๆ ได้
ทั้งหมดนี้ เราพอจะสรุปการถือกำเนิดของเหล่าเทพเทวีได้ดังนี้
(1.) เกิดจากเหล่าคุรุดึงเอาพลังงานบริสุทธิ์จากห้วงจักรวาลมาสถิตในเทวรูป และแต่งตำนานความเชื่อต่าง ๆ เพื่อให้คนรุ่นหลังกราบไหว้บูชา และก็เป็นเรื่องน่าแปลกนะครับว่า ตำนานของเหล่าเทพเทวีเหล่านั้น ยังคงเจือไปด้วยกิเลส ความรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ต่างจากมนุษย์สักเท่าไหร่นัก
(2.) ถือกำเนิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เช่นต้นไม้ใหญ่ สัตว์ที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ หรือภัยธรรมชาติที่ทำให้กลัว และยกย่องสิ่งหรือเหตุเหล่านั้นขึ้นเป็นเทพเจ้า
(3.) การบำเพ็ญตนของมนุษย์เพื่อสิ้นสุดการหลุดพ้นจากกรรมเวรในปัจจุบันแล้วจะกลายเป็นเทพเซียนตามความเชื่อถือศรัทธา
และนี่ก็เป็นต้นกำเนิดของเหล่าเทพเทวี รวมถึงอิทธิพลของความเชื่อของมนุษย์ที่เป็นจุดกำเนิดของศาสนา อารยธรรม ประเพณี และวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง และเหตุปัจจัยเหล่านี้ ก็เป็นต้นตอของเรื่องราวลี้ลับของเหล่าพญานาคตามความเชื่อของคนไทยนั่นเองครับ เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น อะไรคือต้นกำเนิดความเชื่อเหล่านี้ สถานการณ์สำคัญที่เราคนไทยเชื่อว่าเป็นเหตุอันเกิดจากพญานาค เช่น บั้งไฟพญานาค หรือการเคลื่อนไหวตัวในน้ำ สิ่งผิดธรรมชาติใด หรือการนิมิตของเหล่าพระอริยสงฆ์ หนังสือเล่มนี้อาจมีคำตอบสำหรับคุณ
------------------------------
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ
พญานาค จากตำนานสู่ความเชื่อ
ดูรีวิวและช่องทางการสั่งซื้อ << คลิก >> 👇
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น