ตำนานพญานาคถล่มเมืองหนองหารหลวง (จังหวัดสกลนคร)

ตำนานพญานาคถล่มเมืองหนองหารหลวง (สกลนคร)

พญานาคถล่มเมืองหนองหารหลวง

เดิมเมืองสกลนครปรากฏนามว่า เมืองหนองหารหลวง ครั้งหนึ่ง "ขุนขอม" ราชบุตรเจ้าเมืองอินทปัตถ์นคร (เขมร) ได้พาบริวารไพร่ฟ้าของตนมาสร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่งที่ริมหนองหาร ชื่อเมืองหนองหารหลวง ตรงท่านางอาบ (บ้านท่าศาลา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนครปัจจุบัน) ขุนขอมได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ โดยขึ้นตรงกับเมืองอินทปัตถ์นคร กล่าวกันว่าอินทปัตถ์นครเป็นเมืองที่พระอินทร์ทรงสร้างขึ้นภายหลังจากปล่อยปลาบึกลงแม่น้ำโขง

ขุนขอมมีราชบุตรคนหนึ่งชื่อสุรอุทกกุมาร คือ เมื่อวันประสูติมีอัศจรรย์บังเกิดขึ้น มีน้ำพุบังเกิดขึ้นในที่บริเวณใกล้เคียงกับเมืองนั้น ขุนขอมจึงพระราชทานนามว่า ซ่งน้ำพุ (บ้านน้ำพุ อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนครปัจจุบัน)

เมื่อเจ้าสุรอุทก เจริญพระชนมายุ 15 พรรษา ขุนขอมพระบิดาสิ้นพระชนม์ เหล่าเสนาอำมาตย์จึงสถาปนาเจ้าสุรอุทกขึ้นเป็นเจ้าเมือง เป็น “พระยาสุรอุทก” และปกครองบ้านเมืองอย่างผาสุก จนกระทั่งมีบุตรชายสององค์ องค์พี่ชื่อเจ้าภิงคาร องค์น้องชื่อเจ้าคำแดง (ปรากฎอยู่บนศิลปะกรรมกระเบื้องดินเผาที่ประตูเมืองสกลนคร โดยมีพระยาสุรอุทก พร้อมทั้งบุตรชายทั้งสอง คือเจ้าภิงคาร และเจ้าคำแดง)

กาลต่อมา พระยาสุรอุทก มีคำสั่งให้เสนาอำมาตย์จัดรี้พลโยธาออกตรวจอาณาเขตบ้านเมืองของตน ครั้นตรวจไปถึงปากน้ำมูลนที ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับเมืองอินทปัตถ์นคร เสนาอำมาตย์ทูลชี้แจงว่าที่นี้เป็นที่ แบ่งเขตเมืองหนองหารหลวงกับเมืองอินทปัตถ์นคร ตามลำน้ำมูลนที จรดดงพระยาไฟ (ตามแนวแม่น้ำมูล) ขุนขอมพระบิดาของพระองค์ กับเจ้าเมืองอินทปัตถ์นคร ได้มอบอำนาจให้ “ธนมูลนาค” เป็นผู้รักษาอาณาเขตนี้เอาไว้

พระยาสุรอุทก ทรงพิโรธว่าพระอัยกา (ปู่) กับพระบิดามอบอำนาจให้ธนมูลนาค ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานรักษาอาณาเขตบ้าน เป็นการมิสมควรอย่างยิ่ง

กล่าวดังนั้นพระยาสุรอุทกชักพระขรรค์คู่กำเนิด ออกไปแสดงฤทธิ์ไต่ขึ้นไป

บนห้วงน้ำมูลนที และแกว่งพระขรรค์ เพื่อข่มขู่ธนมูลนาค

ธนมูลนาคจึงพิโรธ แสดงฤทธิ์เนรมิตกายตนให้พระยาสุรอุทกเห็นเป็นอัศจรรย์ต่าง ๆ นานา (ปรากฏบนศิลปกรรมกระเบื้องดินเผาที่ประตูเมืองสกลนคร) ซึ่งในเวลานั้น ต่างฝ่ายต่างไม่หยุดหย่อนท้อถอยซึ่งกันและกัน จนพระยาสุรอุทก ต้องยกรี้พลโยธากลับบ้านเมืองของตน เพราะเหตุแห่งมนุษย์ที่มิอาจมีกำลังฤทธิ์เหนือพญานาคได้ ด้วยความอ่อนล้า

ฝ่ายธนมูลนาค เมื่อเห็นพระสุรอุทกกลับเมือง ก็ยังไม่ลืมความโกรธแค้นที่พระยาสุรอุทกมาลบหลู่ตน จึงจัดทัพนาคบริวารทั้งหลาย ติดตามพระยาสุรอุทกไปถึงหนองหารหลวง สำแดงฤทธิ์เนรมิตนาคบริวารทั้งหลายให้เป็นฟานด่อนขาวงามบริสุทธิ์ทุกตัว (ฟานด่อน, ฟานเผือกคือเก้งสีขาวสะอาด) และเดินผ่านเมืองไปที่โพธิ์สามต้น (ปัจจุบันคือ ตำบลโพธิไพศาล อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร) ชาวเมืองทั้งหลายเห็นดังนั้น จึงนำเหตุขึ้นกราบทูลพระยาสุรอุทกในทันที

พระยาสุรอุทกไม่มีการตรึกตรองแต่อย่างใด สั่งให้นายพรานทั้งหลายไปช่วยกันล้อมจับฟานเผือกเป็นมาถวายให้จงได้ ถ้าจับเป็นไม่ได้ก็ให้จับตาย นายพรานรับคำสั่งแล้วพร้อมทั้งสหายพรานรวมถึงชาวบ้านหลายคนติดตามไปจนถึงโพธิ์สามต้น จึงพบฝูงฟานด่อนกำลังกระจายตัวเล็มหญ้าอยู่ (ฟานด่อนกับเก้งเผือกความหมายเดียวกัน) เหล่าพรานจัดคนเข้าล้อมฝูงฟานด่อน ฝูงฟานด่อนต่างก็หลบหนี เร้นกายกำบังตัวหายไปรวดเร็วราวกับเป็นความฝัน ยังอยู่แต่ธนมูลนาคตนเดียวที่ยังคงทำท่าแทะเล็มหญ้าอยู่โดยไม่ได้ตกใจหนีไป แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถจับได้โดยง่าย ธนมูลนาคทำทีเดินหลอกล่อเหล่านายพรานกับชาวบ้านเข้าไปในป่า ติดตามกันจนเหนื่อยแต่ก็ยังไม่สามารถจับพญาฟานด่อนตนนี้ได้

พอถึงหนองบัวสร้าง (ปัจจุบันคือพื้นที่บ้านหนองบัวสร้าง ตำบลอุ่มจาน อำเภอกุสุมาลย์ ตั้งอยู่ติดกับถนนสายนาหว้า - สกลนคร) นาคฟานด่อนก็ทำทีเป็นเจ็บขา นายพรานกับพวกก็เข้าล้อมจะจับเอาเป็นก็ไม่ได้ จึงตัดสินใจยิงฟานด่อนตัวนั้นด้วยหน้าไม้อันมีลูกดอกผสมด้วยยาพิษ ถูกฟานด่อนเข้าที่สำคัญ ฝ่ายธนมูลนาค เมื่อถูกยิงครั้นจะต่อสู้กับนายพรานซึ่งไม่มีฤทธิ์เดชอะไรก็กลัวจะเสื่อมเสียเกียรติแห่งตน จึงสูบเอาวิญญาณของตนออกจากร่างฟานด่อน จากนั้นฟานด่อนก็ถึงแก่ความตายต่อหน้านายพรานเหล่านั้น (ภาพนายพรานยิงฟานด่อนด้วยลูกดอกอาบยาพิษ ปรากฏบนศิลปะกระเบื้องดินเผาที่ประตูเมืองสกลนครอีกเช่นกัน)

เมื่อฟานด่อนตายแล้ว ธนมูลนาคก็ทำฤทธิ์ให้ร่างกายฟานด่อนขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จนเท่ากับช้างสาร ฝ่ายนายพรานเห็นได้ที ก็ให้กำลังโยธาเข้ายกหามเอาซากศพฟานด่อนยักษ์ ยกเท่าไหร่ก็ยกไม่ไหวเพราะความหนักเกินประมาณ นายพรานจึงจัดกำลังด้วยวิธีการลากเอาศพฟานด่อนลงมาทางโพธิ์สามต้น หนทางที่นายพรานลากฟานด่อนมาถึงริมฝั่งหนองหาน ก็เกิดเป็นร่องลึกจนกลายมาเป็น”คลองน้ำลาก” (ไหลจากตำบลโพธิไพศาลมาตกยังหนองหารในปัจจุบัน) ครั้นถึงริมนครหนองหารหลวง จะชักลากซากศพฟานด่อนสักเท่าใดก็ไม่สำเร็จ นายพรานจึงให้ม้าเร็วนำเหตุการนี้ไปกราบเรียนพระยาสุรอุทก

เมื่อพระยาสุรอุทกทรงทราบดังนั้น จึงมีคำสั่งให้เอาเนื้อฟานด่อนมาถวาย เมื่อนายพรานทราบดังนั้น จึงสั่งให้เหล่าทหารและพลเมืองเข้าแร่เนื้อฟานด่อนเพื่อนำเข้าถวายพระยาสุรอุทก แต่แร่อยู่ 3 วัน 3 คืน ก็ไม่หมด พระยาสรุอุทกจึงรับสั่งให้แจกจ่ายเนื้อฟานด่อนให้ชาวเมืองได้กินกันทั่วหน้า แต่เนื้อฟานด่อนยังงอกทวีขึ้น จนคนในเมืองได้รับประทานทั่วกัน

พระยาสุรอุทกได้รับประทานเนื้อฟานด่อน ก็มีความยินดีปรีเปรมเกษมสุข เพราะเป็นเนื้อที่มีรส หวานอร่อยดีกว่าเนื้อสัตว์ทั้งหลายที่เคยได้ลิ้มลอง ฝ่ายธนมูลนาคเมื่อรวบรวมนาคบริวารที่กระจัดกระจายกันไปได้แล้ว ก็ยังไม่หายความโกรธ พากันแสดงฤทธิ์มุดลงไปในบึงหนองหารหลวง

พอตกเวลากลางดึก ท่ามกลางเสียงที่เงียบสงัด คนในเมืองนอนหลับกันอย่างสงบเพราะฤทธิ์ของเนื้อฟานด่อน ธนมูลนาคจึงยกพล ขุดแผ่นดินเมืองหนองหารหลวงนั้น ให้ล่มสลายลงกลายเป็นผืนน้ำ ธนมูลนาคก็ตรงเข้าจับพระยาสุรอุทกด้วยบ่วงบาศก์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์และลงเวทย์มนต์คาถาไว้ และชักลากพระยาสุรอุทกลงไปที่แม่น้ำโขง เมื่อธนมูลนาคชักลากพระยาสุรอุทกไปตามทุ่งนาป่าเขา วกไปวนมาหวังให้ได้รับความทุกขเวทนา จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำโขง พระยาสุรอุทกก็สิ้นใจตาย ธนมูลนาค จึงส่งศพพระยาสุรอุทกไปยังเมืองอินทปัตถ์นคร (บางตำรากล่าวว่าโยนพระศพลงแม่น้ำโขง) ซึ่งเป็นเมืองเชื้อสายเดิม (หนทางที่ธนมูนนาค ชักลากพระยาสุรอุทกไปยังแม่น้ำโขงนั้นได้กลายเป็นล่องลึกและกลายมาเป็นลำน้ำ ชาวบ้านจึงเรียกลำน้ำนี้ว่า “ลำน้ำกรรม” (ภายหลังเรียกเพี้ยนกลายเป็นลำน้ำก่ำ ในปัจจุบัน) เพราะธนมูลนาคทรมานพระยาสุรอุทกให้ได้รับกรรมเช่นเดียวกับที่พระองค์สั่งให้คนลากฟานด่อนมายังริมหนองหาร

ฝ่ายเมืองหนองหารหลวง เจ้าภิงคาร เจ้าคำแดง (ราชบุตรทั้งสอง) กับญาติวงศ์ข้าราชบริพาร และประชาชนบางส่วนที่รู้สึกตัวก่อนจมน้ำ ก็ต่างคนต่างว่ายน้ำออกไปอาศัยอยู่ตามเกาะดอนกลางหนองหาร (ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่า เกาะดอนสวรรค์) ซึ่งเหลือจากกำลังนาคทำร้ายไม่หมดสิ้น เจ้าภิงคาร เจ้าคำแดงก็พาญาติวงศ์บ่าวไพร่ ขี่แพข้ามมาตั้งพักพลกำลังโยธาอยู่ที่โพนเมือง ริมหนองหารหลวงข้างทิศใต้

เจ้าภิงคารและเจ้าคำแดง พร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ที่เหลือ จึงไปตรวจหาชัยภูมิที่จะตั้งบ้านสร้างเมือง เห็นว่าภูน้ำลอดเชิงชุม เป็นที่ชัยภูมิดี และเป็นที่ประชุมรอยพระพุทธบาทด้วย เจ้าภิงคารจึงตั้งสัตย์อธิษฐานว่า ข้าพเจ้าจะพาครอบครัวมาตั้งบ้านสร้างเมืองขึ้นที่ภูน้ำลอดนี้ เพื่อปฏิบัติรอยพระพุทธบาทด้วย ขอให้เทพยดาผู้มีฤทธิ์ จงช่วยอภิบาลบำรุงให้บ้านเมืองวัฒนาถาวรต่อไป

ในขณะนั้นมีพญานาคผู้ทรงศีลธรรมตนหนึ่ง ชื่อว่าสุวรรณนาค ซึ่งเป็นผู้รักษารอยพระพุทธบาทพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ที่ภูน้ำลอด มีเกล็ดเป็นทองคำ ได้ผุดขึ้นมาจากพื้นพสุธาดล และอภิเษกให้เจ้าภิงคารเป็นเจ้าเมืองหนองหารหลวงองค์ใหม่ โดยให้พระนามว่า “พระยาสุวรรณภิงคาร” (แปลว่าน้ำเต้าทองคำ) และได้ราชาภิเษกกับพระนางนารายณ์เจงเวง ราชธิดาของเจ้าเมืองอินทปัตถ์นคร (เชื้อสายเดียวกับผู้เป็นบิดา) เป็นเอกอัครมเหสี พระยาสุวรรณภิงคารและพระนางนารายณ์เจงเวงก็ได้ครองเมืองหนองหารหลวงโดยสวัสดิภาพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ฝ่ายเมืองหนองหานน้อย (คาดว่าปัจจุบันคือ หนองหาน อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี) ไม่มีผู้ครองบ้านเมือง เสนาอำมาตย์จึงทำพิธีอธิษฐานเสี่ยงราชรถเพื่อค้นหาผู้ครองบ้านเมืองต่อไป รถอันเทียมด้วยม้ามีกำลังก็พามาสู่หนองหารหลวง ราชรถเข้าไปเกยที่บันไดวังเจ้าคำแดง (ราชบุตรผู้น้อง) เหล่าเสนาอำมาตย์ จึงกราบทูลเชิญเจ้าคำแดงไปเป็นเจ้าเมืองหนองหานน้อย เมืองหนองหานน้อยกับเมืองหนองหารหลวงจึงเป็นไมตรีพี่น้องกัน

ครั้นต่อมาถึงศาสนาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระอริยสาวก จำนวน 1,500 รูป เสด็จมาจากเมืองศรีโคตรบูรณ์ (เมืองโคตรบูร นครพนม) แล้วมาฉันข้าวที่ภูกำพร้า หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าดอยเข็ญใจ พระองค์ระลึกถึงประวัติพระพุทธเจ้าสามพระองค์ ที่เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว ได้มาประชุมรอยพระบาทไว้ที่ภูน้ำลอดเชิงชุมทุกพระองค์ จึงทรงเห็นว่าพระองค์ก็จวนจะเข้าปรินิพพานแล้ว จึงพาสวกพระอรหันต์ 500 องค์ ไปสู่ภูน้ำลอดเชิงชุม ประทานรอยประทับลงที่แผ่นศิลา ซึ่งฝังอยู่ที่ภูน้ำลอด

ขณะนั้นพระยาสุวรรณภิงคาร พร้อมกับบริวารมารับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้กระทำปาฏิหาริย์ ให้พระยาสุวรรณภิงคารเห็นเป็นอัศจรรย์ คือแสดงให้มหารัตนมณีสามดวง ออกมาจากพระโอษฐ์ มีรัศมีรุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลย์ทั่วทั้งอากาศนพดล คนทั้งหลายเห็นพอเส้นขนก็ลุกพองสยองเกล้า

พระยาสุวรรณภิงคารจึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ถามปัญหาในข้ออัศจรรย์ พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า ที่นี้เป็นที่อันประเสริฐอันหนึ่งแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งได้ตรัสรู้สัพพัญญูเป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้ ทุกพระองค์เมื่อจวนจะเข้าสู่ปรินิพพาน ก็ได้มาประชุมรอยพระพุทธบาทไว้ที่นี่ รัตนมณีทั้ง 3 ก็คือ ควงที่ 1 พระเจ้ากกุสันธพุทธเจ้า ดวงที่ 2 คือพระโกนาคมนพุทธเจ้า ดวงที่ 3 คือพระเจ้ากัสสปพุทธเจ้า ที่ทุกพระองค์ล่วงลับเข้าสู่ปรินิพพานนานแล้ว ส่วนดวงที่ 4 ซึ่งเสด็จออกมาทีหลังก็คือองค์สัมมาสัมพุทธโคดมนี้แล เมื่อหมดศาสนาพระตถาคตครบ 5,000 ปีแล้ว ยังจะมีพระศรีอาริยเมตไตรเจ้าองค์หนึ่ง ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกัปนี้ พระองค์ก็ยังจะได้มาประชุมรอยพระบาทไว้ที่นี้อีกจึงจะหมดภัทรกัป (ภัทรกัป คือกัปอันเจริญ กัปอันเป็นปัจจุบัน กล่าวถึงพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ดังนี้)

พระยาสุวรรณภิงคารเมื่อสดับฟังรสธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มีความโสมนัสยินดีปรีดาปราโมทย์ในพระสัทธรรมเทศนานั้นยิ่งนัก เพราะว่าบ้านเมืองของตนตั้งอยู่ในสถานที่อันประเสริฐ พระยาสุวรรณภิงคาร ชักพระขรรค์ออกจะตัดศรีษะของพระองค์ถวายเป็นพุทธบูชาพระสัทธรรมเทศนา พระนางนารายณ์เจงเวงราชเทวี เห็นพระองค์ทรงพระสัญญาวิปลาส ดังนั้นจึงเข้ากุมพระหัตถ์แย่งพระขรรค์ไว้ แล้วทูลว่า เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์มายุอยู่ยืนนาน ก็จะได้อุปถัมภ์บำรุงรอยพระพุทธบาท สืบพระพุทธศาสนาสร้างบุญกุศลสืบไป

พระยาสุวรรณภิงคารได้ยินนางเทวีห้าม ก็สะดุ้งพระทัยรู้สึกถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระสติเลื่อมใสในรอยพระพุทธบาท พระยาก็ถอดมงกุฏกษัตริย์ ซึ่งมีราคาแสนตำลึงทองคำมณี สวมลงไปในรอยพระพุทธบาทเป็นเครื่องบูชา แล้วพระยาสุวรรณภิงคารก็อาราธนาพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ 500 องค์ ไปรับบิณฑบาตที่พระราชวังของพระองค์

พระพุทธเจ้ากระทำภัตกิจรับฉันอาหารบิณฑบาต ทรงอนุโมทนาซึ่งทานแห่งพระยาสุวรรณภิงคารแล้ว ก็เสด็จไปประทับพระบรรทมที่แท่นศิลาอาสน์ ณ ดอยคูหาแล้วก็เสด็จไปเมืองกุสินารา พระองค์เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานในกาลนั้น

ฝ่ายพระยาสุวรรณภิงคารกับพระนางนารายณ์นารายณ์เจงเวงราชเทวี พร้อมด้วยบริวารสร้างอุโมงค์ก่อเป็นรูปเจดีย์สวมรอยพระพุทธบาทไว้ที่คูน้ำลอดเชิงชุม ให้นามว่าพระเจดีย์พุทธบาทโรมชุมหรือเชิงชุม ซึ่งมีรอยพระพุทธบาททั้ง 4 พระองค์มารวมกันทับซ้อนอยู่เป็นหลักฐาน ณ แผ่นศิลาเบื้องล่างพระเจดีย์นั้น

---------------------


บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ 
พญานาค จากตำนานสู่ความเชื่อ
ดูรีวิวและช่องทางการสั่งซื้อ << คลิก >> 👇



ผู้เขียนอนุญาตให้ Copy หรือ แชร์บทความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ในช่องทางของตัวเองได้ แต่ขอความกรุณาให้เครดิต หรือแนบลิงก์สั่งซื้อหนังสือให้ด้วยจักขอบพระคุณยิ่งครับ

(ไม่อนุญาตให้จัดพิมพ์หรือจำหน่ายในเชิงพาณิชย์นะครับ)


#พญานาค #ความเชื่อเรื่องพญานาค #ตำนานพญานาค #พญานาคลุ่มน้ำโขง #พญานาคประเทศลาว #พญานาคเขมร #ศรีสุทโธนาคราช #อนันตนาคราช #ภุชงค์นาคราช #สุวรรณนาคราช #เมืองสุวรรณโคมคำ #เมืองศรีสัตตนาคนหุต

👇👇👇👇👇👇👇👇

Saiheal Bookstore and Crafts


ความคิดเห็น

คนชอบอ่าน

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ วานส์” (QUEEN OF WANDS)

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ เพนตาเคิลส์” (QUEEN OF PENTACLES)

ความหมายของไพ่บุคคล คิง ออฟ คัพส์ (KING OF CUPS)

ความหมายของไพ่ "เดอะ เวิลด์" (THE WORLD) สอนอ่านไพ่ยิปซี