เปิดตำนาน "กุมารทอง" เลี้ยงแล้วรวยจริงมั้ย

 


     เมื่อกล่าวถึง #กุมารทอง หลายคนคงคุ้นชินกับตุ๊กตาปั้นรูปเด็กนั่งหรือยืน มีองค์ประกอบต่างๆ หลากหลายถือถุงเงินบ้าง ถืออาวุธบ้าง แต่ที่มาที่ไปของวัตถุบูชานี้ หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า มันคืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธนี่นะ แล้วใครริเริ่มสร้าง วัด? หรืออาจารย์ฆราวาส? วันนี้จึงมีเรื่องเล่าเคล้าตำนานมาฝากกันครับ


     ต้นกำเนิดการสร้างกุมารทอง ถูกสืบทอดมาจากความเชื่อในศาสนาผีดั้งเดิมของไทย ต้องทำความเข้าใจทีละสเตปนะครับ ก่อนพราหมณ์และพุทธจะเข้ามามีบทบาทในสยามประเทศ ศาสนาผีอันเป็นรากฐานความเชื่อดั้งเดิมฝังรากในอารยธรรมขอมมาช้านาน หยั่งรากฝังลึก แฝงตัวอยู่ในหลากหลายวัฒนธรรมรวมถึงประเพณีบ้านเรา ถ้าจะกล่าวกันจริงๆ อารยธรรมอินเดียโบราณก็เป็นรากเหง้าลึกๆ ที่กลายพันธุ์ในอารยธรรมขอมทับซ้อนกันมาอีกทีเหมือนกัน ด้วยความเชื่อเกี่ยวกับภูติผีปีศาจแต่เดิมมานั้น ถูกสืบทอดมาเป็นลักษณะของผีเจ้าเข้าทรงและวัตถุอาถรรพ์สารพัดสิ่งอย่าง ปะปนกับคำสอนทางศาสนาที่ผลัดเปลี่ยนเวียนมาตามกาล ทั้งศาสนา นิกาย อารยธรรม และวัฒนธรรม และก็ดับเบิ้ลทับซ้อนมาเป็นพี่ไทยของไทยในทุกวันนี้

     เมื่อกล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการสร้างกุมารทองของคนโบราณ มีหลายเป้าหมายครับ ทั้งเชื่อว่าจะช่วยปกป้องเจ้าของ ส่งไปทำร้ายศัตรู หรือเฝ้าบ้านเรือน ส่วนวัตถุประสงค์เรื่องช่วยค้าขาย ทำให้ร่ำรวย เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดยุคใหม่ของสำนักผู้สร้าง ซึ่งแน่นอนว่า ตามวัดวาอารามต่างๆ ก็แน่นไปด้วยเครื่องราง เพราะหวังผลจากความเชื่อที่บางคนอาจดำดิ่งสู่ความงมงาย แต่หลายคนก็ถวายวัดไปเพื่อให้เมล็ดเงินนั้นกลายมาเป็นเงินในการบำรุงวัด แลกกับของชำร่วยติดไม้ติดมือก็ว่าได้

     ตามตำนานโบราณ กุมารถูกสร้างเรียกว่าพราย หรือโหงพราย กุมารในตำนานที่โด่งดังเห็นจะมี 4 ประเภท เรียกว่า เพชรภูติงาน ประกอบด้วย กุมารเพชรคง, กุมารเพชรมั่น, กุมารเพชรดับ และกุมารเพชรสูญ และวัตถุประสงค์การสร้างหรือปลุกเสก ก็เพื่อเรียกวิญญาณโหงพรายในรูปเด็กมาใช้งานโดยการใช้วัตถุจำพวกเถ้ากระดูก ดินหลุมศพ ผ้าห่อศพ ตะปูตอกฝาโลง หรือกระทั่งนำศพเด็กทั้งร่างมาเป็นมวลสารปลุกปั้นกุมารเหล่านี้ เป็นต้น แม้กระทั่งปัจจุบันก็มีการซื้อขายกันแบบลับ ๆ กับผู้ดูแลศพเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีแล้วนะครับ มีกลุ่มคนที่ทำรับผลประโยชน์กันเป็นทอด ๆ เรื่องกระบวนการผลิตกุมารทองนี้ ก็อาจจะไม่ต่างจากในบทประพันธ์ขุนช้างขุนแผนนั่นเองครับ

     และเมื่อกล่าวถึงหน้าที่ของกุมารจำพวกเพชรภูติงาน ก็ต้องอึ้งกันไปอีกว่า กุมารเพชรสูญไว้ทำให้คนเป็นบ้า กุมารเพชรมั่น กุมารเพชรคง เอาไว้เฝ้าบ้าน ส่วนกุมารเพชรดับเอาไว้ฆ่าคน ส่วนมากจึงจำเพาะผู้เรืองวิชาอาคมเท่านั้น จึงมีไว้ครอบครองได้ เพราะต้องกำกับวิชาตามที่ร่ำเรียนกันมาตามความเชื่อนั่นเอง และคุณไสยมนตร์ดำในปัจจุบันนี้ก็ยังมีให้เห็น แต่เป็นจริงประจักษ์หรือไม่ คงชี้วัดกันไม่ได้นะครับ เพราะอะไรที่เราไม่รู้ หรือรู้ไม่รอบ ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มี

     ด้วยความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณเหล่านี้ สืบทอดมาเป็นกุมารกลายพันธุ์ดังในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นกุมารเทพ ที่เชื่อว่าเรียกเทวดาองค์น้อยมาประทับ หรือกุมารทองค้าขายเพื่อให้บันดาลโชคลาภ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ที่รับเอากุมารเหล่านี้มาเลี้ยงไม่ทราบ ก็คือการดำเนินชีวิตที่จะต้องเปลี่ยนไปหลังจากที่คุณผูกสัญญากับภูติพรายเหล่านี้ ครั้นใครใคร่จะเชื่อว่า สิ่งดีๆ ที่เข้ามาในชีวิตไดนั้น เพราะเลี้ยงกุมาร ก็คงเป็นสิทธิส่วนบุคคล และมันเป็นเรื่องของบุคคลเหล่านั้นโดยแท้ครับ สิ่งหนึ่งที่มนุษย์พึงมีคือการไม่ก้าวล่วงใคร

     สิ่งที่อยากให้พึงระวังคือความเข้าใจเรื่องกุมารทองครับว่า ถ้าคุณหรือใครจะรับเอาสิ่งเหล่านี้มาบูชา ก็เหมือนพาผีพาเทวดาระดับล่างมาเกาะบุญไปตลอดชีวิต พลีรับแต่ไม่พลีปล่อย มันก็เกาะติดอยู่แบบนั้น ยิ่งใครไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยทำบุญ ไม่เคยอุทิศไปให้ ยิ่งส่งผลร้ายมากกว่าดี เพราะมันคือภาระทางการดำเนินชีวิต จะออกไปไหนทีก็พะว้าพะวง จะทำบุญให้ดวงวิญญาณญาติพี่น้องก็ต้องคอยอุทิศให้กุมาร คือสร้างกรรมผูกกรรมกันไปเองเท่านั้น จนบางคนคิดว่า ไม่รับมาเลี้ยงแต่แรกก็ดี (อันนี้ว่ากันตามความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณและการอุทิศบุญ) ไอ้ครั้นจะมาคาดหวังเรื่องอิทธิฤทธิ์คงยากยิ่งไปอีก เพราะเราจะให้สิ่งที่ต้องการบุญมาบันดาลอะไรให้คุณคงหาได้ยาก ถ้าจะรับมาเลี้ยงเพราะเมตตาสงสารตามคำบอกเล่าของบางวัดว่า เขาได้บรรจุวิญญาณเด็กถูกทำแท้งเอาไว้ อันนั้นยิ่งแล้วใหญ่ มันไม่ต่างกับการอาสารับมาเลี้ยง และต้องเติมอาหารเด็กด้วยบุญที่คุณต้องทำให้มากกว่าเดิม ครั้นจะมาคาดหวังโชคลาภร่ำรวย โดยที่ตนเองยังห่างไกลขันติธรรม ห่างไกลความเพียร ห่างไกลการแสวงหาความรู้ เพื่อประกอบสัมมาอาชีวะ ห่างไกลความรักในงานที่ทำ ห่างไกลการตรวจสอบวิถีทาง ห่างไกลการพัฒนาอาชีพตนเอง และดำเนินชีวิตด้วยสตินั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยแท้ สุดท้ายแล้วพอเสื่อมศรัทธา ตุ๊กตากุมารทองจึงกองเต็มวัด กลายเป็นสุสานกุมารไปเสียโดยปริยาย

     ในความเชื่อเหล่านี้ เราไม่อาจกำหนดได้นะครับว่า มีจริง หรือไม่มีจริง เพราะตราบใดที่เราสูดลมหายใจลงปอดหล่อเลี้ยงชีวิตได้ แต่เราจับต้องลมเหล่านั้นไม่ได้ รับรู้ แต่หยิบจับไม่ได้ ใครจะยืนยันได้ว่าวิญญาณไม่มีจริง? กระทั่งการมีอยู่ของพุทธศาสนา ก็ไม่เคยปฏิเสธเรื่องวิญญาณ ภพชาติ หรือภูมิเทวดา กลับกลายเป็นเรื่องแปลกที่ผู้ทรงความรู้สมัยใหม่ ถ่ายทอดแต่สิ่งที่ตนเชื่อมั่น จนกลายเป็นกระแสโซเชียลในเชิงอัตวิพากษ์ ใช้อัตตาเป็นตัวตอบโจทย์ด้วยคำหยาบคาย แล้วประกาศลั่นว่า "ฉันนี่แหละของแท้" จนกลายเป็นวลีเด็ดในโลกโซเชียลว่า "พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน" ตรงนี้อันตรายมากครับ เพราะมันกำลังกลืนกินสติปัญญาของเหยื่อการตลาดไปสู่ยุคแห่งความกระด้างทางศาสนา และนำพาไปสู้วิถีเพแกน ไม่ใช่ทำให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่างมีสติโดยแท้ สังเกตุจากผู้ติดตามที่เปลี่ยนความคิดแต่ไม่พัฒนาจิตใจ หรือแม้กระทั่งมองไม่เห็นหัวใจของคำสอนนั้น มีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เอาสนุก เอามัน สาดวาจาใส่กันอยางเดียว เอาง่ายๆ คือ ศาสนาพุทธวางหลักธรรมให้ปฏิบัติ ทุกวันนี้คนด่ากันแต่เรื่องที่ว่า ศาสนาไม่ได้สอนให้ทำแบบนี้, แบบนั้นไม่ใช่พุทธ, คำสอนศาสนาพุทธดีที่สุด, เป็นทางสว่างที่ดีกว่า, ศาสนาอื่นไม่ดีแบบนั้น, อันนั้นไม่เคยมีสมัยพุทธกาลนะอย่าไปเชื่อ ฯลฯ ถ้าใครมีความคิดแบบนี้ต้องสำรวจตัวเองทันทีนะครับ ว่า ทุกวันนี้ "ศีล ๕ อันเป็นรากฐานคำสอน คุณปฏิบัติหรือยัง" พระธรรมคำสอนคือสิ่งที่ต้องนำมาทำ มาปฏิบัติ มาขัดมาเกลาตนเอง ไม่ใช่นำมาด่าใครต่อใคร อวดว่าตนรู้เยอะรู้มาก สร้างกรรมใหม่ทับกรรมเก่า นั่นเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจครับ "ว่ามันบาป" มันกอปรด้วยมโนกรรมล้วน ๆ

     บนโลกใบนี้ ศาสนามีหลากหลาย แม้กระทั่งนิกายก็มีมากเหลือ ผู้เขียนไม่สนับสนุนให้เรายกตนข่มท่าน คิดว่าสิ่งที่กูเรียนรู้ กูช่ำชอง กูดีกว่าใคร เพราะมันจะพาให้เราเบียดเบียนความเชื่อ ความศรัทธาของผู้อื่น หรือศาสนาอื่นใดบนโลก ลองดูครับว่า เพียงแค่คุณไปสรรเสริญพุทธศาสดาต่อหน้าเขา เขาก็มองคุณเป็นตัวตลกได้เช่นกัน และเขาไม่ได้ผิดอะไร เพราะศาสนาของเขาสอนมาแบบนั้น และเราก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินว่า "ความเชื่อของเขาผิดเพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน" ฉันใดก็ฉันนั้น เหล่านักศึกษาธรรม จึงมุ่งเน้นไปที่การสำรวมระวัง และพึงปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะที่ควร ... เพื่ออะไร? เพื่อขัดเกลาตนเอง นำมาปฏิบัติจริง ลดอัตตา ไม่ปรามาสใคร นั่นต่างหากครับ คือผลสำเร็จของพุทธบริษัท

#เตือนสติเท่านั้น กระจกมีไว้ส่องตัวเอง ถ้าเราจะนั่งหันกระจกใส่คนอื่น แล้วพูดว่า "มึงดูตัวมึงสิ มันจะดีได้ไหม มันจะได้อย่างใครได้ยังไง" นั่นคือคอนเทนต์สร้างกระแส เน้นวาจาถากถางรุนแรงสร้างตัวตน เพราะรู้ว่าคนชอบเสพดราม่า เราต้องแยกให้ออกครับ ว่ากำลังรับยาพิษ หรือกำลังฮีลใจ เอาแค่ใจเราคิดบวกต่อใครหรือไม่ขณะที่ดูคอนเทนต์เหล่านี้ ถ้าคิดลบกับคนบางกลุ่มตามที่ผู้ถ่ายทอดกำลังประพฤติ และพฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นของเรานั่นแหละ ที่เป็นตัวบอกได้อย่างชัดเจนทีเดียว ว่าเราพยายามลดค่าคนอื่นเพื่อเพิ่มคุณค่าให้ตัวเราเอง หรือเรากำลังพยายามขัดเกลาตัวเองเพื่อตนเองและครอบครัว
จะเล่าเรื่องกุมารพาลมาเรื่องคนทำคอนเทนต์ เอาเถิดหนา นานาจิตตัง แต่จิตตั้งในความดีคือที่มาของคุณธรรม ใครใคร่ศึกษาธรรม แนะนำช่อง "#เผือกสีขาว" บนช่องยูทูบ สนุก มีสาระ คิดตามได้ เห็นภาพชัด Full HD ครับผม


👇👇👇👇👇👇👇👇

Saiheal Bookstore and Crafts



 

ความคิดเห็น

คนชอบอ่าน

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ วานส์” (QUEEN OF WANDS)

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ เพนตาเคิลส์” (QUEEN OF PENTACLES)

ความหมายของไพ่บุคคล คิง ออฟ คัพส์ (KING OF CUPS)

ความหมายของไพ่ "เดอะ เวิลด์" (THE WORLD) สอนอ่านไพ่ยิปซี