มุทรากับจักระทั้ง ๗ โดย อ.ไป๋ล่ง
เรื่องของมุทรา เผื่อใครที่สนใจให้นำไปเป็นแนวทางการศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวคุณเอง กล่าวกันว่า ที่มือของคนเราเสามารถเชื่อมโยงจุดสำคัญบนร่างกายทั้งหมด ๗ จุดด้วยกัน หรือที่รู้จักในนาม จักระทั้ง ๗ คำว่าจักระ มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า “กงล้อ” เมื่อถูกนำมาตีความเชื่อมโยงสอดคล้องกับศาสตร์ของการฝึกสมาธิเพื่อดูดซับพลังในห้วงจักรวาลที่หลั่งไหล ลงมาพื้นโลก และขุมพลังแห่งพื้นโลกที่พวยพุ่งขึ้นไปสู่จักรวาล คำว่าพลังจักรวาล จึงหมายถึง “วัฏจักรแห่งชีวิต” เป็นพลังงานที่หมุนวน สับเปลี่ยน ไม่มีที่สิ้นสุด และยังปรากฎในคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดียโบราณ (อินโด-อารยัน) ที่สืบทอดกันมาอีกด้วย โดยพลังงานที่หลั่งไหลมาจากห้วงจักรวาลนี้ เรียกได้ว่าเป็นพลังบริสุทธิ์ เป็นพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจขับเคลื่อนเอกภพ หรือเหนือจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลจนไม่สามารถกำหนดได้ และเป็นพลังที่ถ่ายทอดมาจากมหาเทวีอาทิศักติผู้ยิ่งใหญ่ ทางอินเดียจึงเรียกพลังนี้ว่า “พลังศักติ” ถ้าเป็นแถบอียิปต์โบราณ ซึ่งต่อมาถูกเผยแพร่ในยุโรปและอเมริกา ในชื่อ “พลังคอสมิค” หรือคนไทยเรียกว่าพลังกายทิพย์ ซึ่งพอพูดมาถึงตรงนี้หลายคนจะมองว่าเป็นเรื่องความเชื่อ ในทางกลับกันมันเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยอย่างเป็นระบบในต่างประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น นะครับ ในส่วนของทางโซนเอเชียตะวันออกอย่างประเทศจีน ก็จะเรียกพลังงานในลักษณะนี้ว่า “ชี่” หรือ “พลังลมปราณ” นั่นเอง พอฟังดูแล้วก็อาจจะแตกต่างที่มา และวิธีการกันไปบ้าง แต่อยู่บนพื้นฐานเดียวกันพอสมควรนะครับ อย่างเช่นของศาสตร์วิชาจีนโบราณ ก็จะมีการกำหนดจุดต่าง ๆ บนร่างกาย ซึ่งควบคุมการทำงานอย่างละเอียด และการไหลเวียนของลมหายใจที่จะดูซับซ้อนกันไป เหมือนที่เราดูหนังจีนกำลังภายใน ที่จะมีวิทยายุทธเหาะเหินเดินอากาศได้อะไรประมาณนั้นนะครับ ซึ่งดูแล้วก็คงไม่ต่างกับละครจักร ๆ วงศ์ ๆ บ้านเรานั่นเอง แต่คงเป็นเรื่องที่เกินจริงเกินไป
มนุษย์เราเกิดมาพร้อมพลังงานที่จับต้องไม่ได้แต่สำคัญต่อการดำเนินชีวิตหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น แสงหรืออากาศ อย่างเช่นแสงเรามองเห็นได้ เราพิสูจน์ได้ด้วยตาเปล่า แต่เราก็จับต้องไม่ได้ อากาศเรารู้สึกได้ แต่เราจับต้องไม่ได้ รังสีคอสมิค ก็เช่นกัน เป็นอนุภาคพลังงานสูงจากนอกโลกที่เคลื่อนที่ในอัตราความเร็วแสง และพุ่งลงมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกตลอดเวลา สามารถเบี่ยงเบนในสนามแม่เหล็กโลกได้ ถูกค้นพบครั้งแรกโดย วิกเตอร์ ฟรานซิส เฮสส์ (Victor Francis Hess) นักฟิสิกส์ชาวออสเตรีย-อเมริกัน จากการส่งบอลลูนบรรทุกเครื่องอิเล็กโตรสโคปขึ้นสู่ท้องฟ้าถึงระดับความสูงประมาณ ๑๓ กิโลเมตร โดยที่วิกเตอร์จะขึ้นไปกับบอลลูนหลายครั้ง และพบว่า ที่ระดับความสูงยิ่งมาก เครื่องอิเล็กโตรสโคปก็ยิ่งจับรังสีได้มากเช่นกัน ต่อมา โรเบิร์ต เอ. มิลลิแคน (Robert A. Millikan) นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ได้คิดค้นวิธีคำนวณหาขนาดของประจุอิเล็กตรอนได้สำเร็จ จึงเป็นผู้ตั้งชื่อเรียกรังสีจากนอกโลกนี้ว่า “รังสีคอสมิค”
และก็เป็นเรื่องที่น่าฉงนใจอีกครั้ง เมื่อศาสตร์อะไรใด ๆ ก็ตาม ถูกถ่ายทอดมาสู่เมืองไทยแล้วจะกลายเป็นเรื่องพลังจิต ความสามารถเหนือมนุษย์ไปเสียหมด เพราะคนไทยบางกลุ่มชอบโน้มน้าวทุกสิ่งเข้าสู่ระดับความเชื่อ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ จากงานวิจัยของต่างชาติ ที่มุ่งเน้นการกล่าวถึงร่างกายมนุษย์ ถ้าสามารถสร้างปฏิกิริยาแม่เหล็กไฟฟ้าและดึงเอาพลังงานคอสมิกที่อยู่ในชั้นบรรยากาศมาช่วยด้านส่งเสริมสุขภาพได้ กลายเป็นเอามาแต่งใหม่ใส่ชื่อพลังกายทิพย์ หรือพลังจักรวาล ที่มีมูลนิธิเปิดสอนและฝึกกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็ยังมิวายกล่าวถึงเรื่องปาฏิหาริย์จากครูบาอาจารย์อยู่ดี ทำให้ศาสตร์ที่น่าสนใจเหล่านี้ถูกมองเป็นเรื่องงมงายและไม่น่าติดตาม พูดที่ไหนก็มีแต่คนตลกขบขัน นั่นเป็นปัญหาของผู้เผยแพร่โดยตรง
จากที่ผู้เขียนศึกษาเรื่องราวเหล่านี้มาหลายปี กลับพบข้อมูลว่า การที่เราสามารถควบคุมระบบหายใจ และใช้สมาธิปรับระบบความคิดให้นิ่ง หรือปล่อยวาง ผ่อนปรน ปล่อยร่างกายให้เป็นเหมือนภาชนะที่รองรับลมหายใจเข้ามา และปล่อยออกไปอย่างสบาย ทำตัวเป็นทางผ่านของลมหายใจ เพื่อให้เกิดสมาธิตามแนวพุทธศาสนานั้น เมื่อทำได้คล่อง และนำไปปรับใช้เรื่องสุขภาพ โดยการดึงเอาพลังคอส มิคผ่านเข้าสู่ร่างกายแล้วปล่อยออกไปตามลมหายใจ ทำให้สุขภาพร่างกายสดชื่นขึ้นจริง เห็นผลทันทีที่เริ่มปฏิบัติ ซึ่งวิธีการก็คือเราต้องรู้จักจุดสำคัญของร่างกาย หรือจักระทั้ง ๗ เสียก่อน และที่สำคัญ จักระหรือตำแหน่งเหล่านั้น ส่งผลด้านไหนต่อสุขภาพ เวลาที่เราจะฝึกการดึงลมเพื่อสุขภาพในแนวทางนี้ ก็เพียงแค่ต้องกำหนดสภาวะจิตไปจับอยู่ที่จักระเหล่านั้นพร้อมกับการดึงลมหายใจไปด้วยนั่นเอง แต่มันจะเป็นเรื่องยากไปหน่อย สำหรับคนที่ไม่เคยฝึก ไหนจะดึงลมหายใจเข้าออก ไหนจะต้องกำหนดความรูสึกไปจับที่จักระไปพร้อมกันอีก จึงอาจยังไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครหลายคน และที่สำคัญ ความโลภของมนุษย์มีมาก พอได้รู้ว่ามีศาสตร์แขนงนี้อยู่ ก็หวังจะกอบโกยพลังมาเก็บสะสมในตัวเอง อีกทั้งหลายตำราก็บอกว่าร่างกายมนุษย์สามารถกักเก็บพลังคอสมิคได้ โดยเก็บไว้ในรูปกายทิพย์ มันยิ่งพาให้ใจหลงไปกันใหญ่ ยิ่งไปทิศทางที่ใช้ในการรักษาซึ่งคนธรรมดาสามัญอาจมีความสามารถไม่เพียงพอ หรืออาจเข้าใจไม่มากพอ ก็จะพาให้เลอะเลือนและนำไปประกอบอาชีพมิชอบ ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินครับว่าทุกกระบวนการรักษานั้นเป็นหน้าที่ของแพทย์ แต่การดูแลสุขภาพด้วยการฝึกลมหายใจและสมาธิ เป็นสิ่งที่เราควรทำเพื่อฟื้นฟูร่างกายตนเอง ดังนั้น บทความในเรื่องนี้ให้มุ่งเน้นที่สุขภาพของตนเองเท่านั้น ตัดเรื่องพลังพิเศษเหนือธรรมชาติออกไป ตัดเรื่องการพยายามกักเก็บพลังไว้ในร่างกายออกไป เพราะถ้าคุณทำไม่ได้สองข้อนี้ อย่าอ่านต่อในเนื้อเรื่องนี้นะครับ
ข้อดีของการปล่อยร่างกายให้เป็นเหมือนภาชนะที่รองรับ และส่งผ่านพลังเหล่านั้นกลับสู่ธรรมชาติ มุ่งเน้นการสร้างจิตที่ไม่ยึดติด ไม่มีอะไรจีรัง ร่างกายของเราก็เป็นเพียงพาหนะที่เราใช้ภพภูมินี้ชาตินี้ การดำเนินชีวิตใดก็ตามสิ้นสุดแล้วเราเอาไปไม่ได้สักอย่าง แล้วประสาอะไรกับพลังที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ไม่เกิดประโยชน์ใดที่จะหวง ที่จะโลภ ที่จะพยายามกักเก็บพลังเหล่านี้ หลายคนที่พยายามฝึกแล้วเกิดอาการบ้านหมุน ปวดเมื่อยตามร่างกาย เพราะการชักจูงจิตใจแบบยึดติด ในทางกลับกัน ถ้าเราปล่อยผ่านพลังงานเหล่านั้นออกไปสู่ธรรมชาติ เราจะรู้สึกโล่งสบายและไม่ยึด ไม่เครียด เมื่อฝึกให้ร่างกายเป็นภาชนะได้ดี เมื่อเกิดความชำนาญ ภาชนะของเราจะใหญ่ขึ้น รับเข้ามาได้มากขึ้น และส่งออกไปได้มากขึ้น นี่เป็นเคล็ดลับการฝึกฝนลมหายใจผสานกับวิถีของจักระ ปล่อยใจให้อิสระที่สุด ไม่คิด ไม่ไขว่คว้า ไม่ยึดติด หากเราเชื่อว่าพลังเหล่านี้มีอยู่จริง พลังคอสมิคนั้นอาศัยอยู่ในธรรมชาติ เราสามารถใช้จิตเชื่อมโยงรับเข้ามาพร้อมลมหายใจของเราได้ เราก็ปล่อยออกไปพร้อมลมหายใจออก ทำให้ได้แบบนี้ ถือว่าเป็นผู้เหมาะที่จะฝึกระบบจักระ ก็ไม่ต่างกับการตักน้ำเทรดต้นไม้ที่เราปลูกครับ ให้ธรรมชาติเติบโตด้วยธรรมชาติ เรามีหน้าที่ฟูมฟักบ่มเพาะให้เจริญงอกงาม สิ่งที่เราได้รับก็คือผลผลิตเหล่านั้นนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น