วิธีการดึงลมหายใจบริหารจักระทั้ง ๗ ด้วยมุทรา ตอนที่๗ สหัสธาร โดย อ.ไป๋ล่ง
เอาเป็นว่าเราเข้าใจเทคนิควิธีการฝึกดึงลมหายใจพร้อมบริหารจักระโดยเอาสูตรมุทราเข้าร่วมในการฝึกกันแล้ว ให้สังเกตว่า ความหมายของการจรดนิ้วมือแบบมุทรากับการควบคุมอวัยวะของจักระนั้นมีความสัมพันธ์กันเช่นไร อย่างจักระ ๓ บริเวณสะดือ มุทราก็คือความอุดมสมบูรณ์ อาหารการกินโภคทรัพย์, จักระ ๔ บริเวณหัวใจกลางทรวงอก มุทราก็คือ การสื่อสาร จิตวิญญาณ ความรู้สึก, จักกระ ๕ ลำคอเหนือกล่องเสียง มุทราก็คือ การกระตุ้นปัญญา และสมาธิ, จักระ ๖ กลางหน้าผาก มุทราก็คือพลังหยั่งรู้ ซึ่งหลักวิธีการเหล่านี้ผู้เขียนรู้สึกสนุกกับการเชื่อมโยงแนวคิดและวิธีปฏิบัติอย่างแยบคายของคนโบราณพอสมควรครับ และที่นำมาแชร์ไว้ให้ในหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น ไม่ว่าจะวิธีการหมุนจักระด้วยการกำหนดสี การสลับหมุนเวียนถูกตีความหมายไปอีกร้อยล้านพันแปดแล้วแต่ตำรา แล้วแต่ครูบาอาจารย์ของเขาเล่าสู่กันมา
สิ่งสำคัญที่อยากให้ทำความเข้าใจคือ การฝึกแบบนี้เพื่อฟื้นฟูร่างกาย สำหรับคนที่ร่างกายอาจจะเหนื่อยล้าง่าย หายใจไม่สะดวก ติดบุหรี่มาหลายสิบปี ทำงานแล้วไม่สดชื่น ระบบขับถ่ายไม่ดี ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง สมองไม่โล่ง ไม่ปลอดโปร่ง การนำเทคนิคดึงลมหายใจฟอกปอด และการฝึกดึงลมกำหนดจิตในแบบ จักระ-มุทรา ช่วยได้มากทีเดียวครับ เหตุแห่งการที่เราต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม ก่อนปฏิบัติงาน หรือใช้ชีวิตประจำวัน จะส่งผลเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน เมื่อร่างกายเราสดชื่น เท่ากับเราเปิดรับเงินทองไปแล้วกว่าครึ่งส่วน การปฏิบัติอื่นใดก็จะยิ่งส่งผลดีสู่ร่างกายยิ่งขึ้นไป เปิดการเตรียมร่างกายเปิดรับพลังงานบวกนั้นเอง
ถึงแม้ว่าพระสงฆ์สายปฏิบัติจะปฏิเสธแนวทางเหล่านี้ เพราะคิดว่าเป็นการยึดติด ไม่ใช่วิถีพุทธแท้ที่ฝึกกรรมฐานเพื่อการหลุดพ้นบ่วงพันธนาการทั้งปวง แต่ก็อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า อะไรที่ดีต่อร่างกายและจิตใจเราทำได้ครับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นผู้กำหนด และวิถีปฏิบัติที่ส่งผลดีก็มีมากเหลือเกิน นอกจากคำสอนทางพระพุทธศาสนาแล้ว ศาสตร์ของการบำบัดร่างกายในแนวคิดอื่น ก็น้อมนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เช่นกัน ติดเพียงแค่ว่าเราอย่าไปหลงมัวเมาในคำโฆษณาจนมากเกินไป เช่น การกักเก็บพลัง สะสมพลัง เพื่อเพ่งจิตรักษาคนตามสูตรต่าง ๆ โดยอ้างว่าเป็นจิตเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น แบบนั้นเป็นแนวทางที่ผู้เขียนไม่สนับสนุน ถ้าเราจะให้กำลังใจใครสักคน แค่จับมือแล้วแสดงความรู้สึกที่ดี ให้คำปรึกษาที่ดี ถือเป็นกุศลที่บริสุทธิ์มากเพียงพอแล้วครับ อย่าไปยึดโยงการฝึกในรูปแบบนี้กับการรักษา เพราะหมอหรือพยาบาลเขาเรียนมาหลายปีเพื่อทำหน้าที่ที่ดีที่สุดของเขาแล้ว ถ้าจบแพทย์แล้วฝึกวิถีจักระ แล้วนำมารักษาร่วมกับความรู้ของตน แบบนั้นถือว่ายอมรับได้ แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ไม่ควร ที่พยายามเตือนสติในเรื่องนี้ เพราะอยากให้เข้าใจว่า ร่างกายทุกคนเป็นพาหนะที่ตนถือครอง ถ้าดูแลไม่ดี มันเสียก็ต้องซ่อมกันไป เราจะตามไปซ่อมทุกพาหนะไม่ได้ ป่วยก็รักษาตามคำแนะนำของแพทย์ นั่นคือคำตอบที่ดีที่สุดครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น