จักระ คืออะไร เชื่อมโยงการทำงานของร่างกายอย่างไร
จักระคืออะไร
จักระทั้ง 7 เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างขุมพลังในห้วงจักรวาล เป็นเสมือนกุญแจเปิดประตูทางผ่านระหว่างพลังเหล่านั้น การฝึกปราณจักระ ที่จะกล่าวถึงนี้ จะเชื่อมโยงกับมุทราให้เป็นท่าร่างร่วมกับการฝึก ด้วย “มุทรา” (Mudra) แปลว่า ตราประทับ หรือสัญลักษณ์ กล่าวคือ ท่ามือที่ใช้เพื่อกระตุ้นสภาวะจิต เป็นวิถีเก่าแก่ของศาสตร์อินเดียโบราณ มีจำแนกออกไปอีกหลายสายจากพื้นฐานความคิดเดียวกัน แต่อาจจะเกิดการนิยามความหมายใหม่ก็เป็นไปได้
(คลิปวิดิโอประกอบบทความ)
จักระทั้ง7ประกอบไปด้วย
จักระ 1 มูลธาร (Muladhara) เรียกว่าจักระราก หรือ Root Chakra สัญลักษณ์แทนคือดอกบัว 4 กลีบ สีแดง ตำแหน่งอยู่ตรงกลางฝีเย็บระหว่างอวัยวะเพศและทวารหนัก เป็นขุมพลังของแต่ละชีวิต ทำหน้าที่ดูดซับพลังงานจากงูไฟ หรือกุณฑาลินี ที่ผุดขึ้นมาจากใจกลางโลกและแผ่ขึ้นมาบนผืนดินบริเวณที่มีความร้อนเช่น ภูเขาไฟ น้ำพุร้อน หรือผ่านต้นไม้ใหญ่ขึ้นมาก็เป็นได้ กล่าวกันว่า เวลาที่เรามีเรี่ยวแรงทำอะไรอย่างมหาศาล เช่น ตกใจบ้านไฟไหม้แล้วยกตู้เย็นคนเดียวได้ หรือ วิ่งหนีอะไรสักอย่างได้เป็น 10 กิโล เพราะคิดว่าเห็นผี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพลังกระตุ้นจากมูลธารจักระทั้งสิ้น จักระนี้ดูแลโครงสร้างกระดูกของร่างกาย, เส้นผม, เล็บมือ, เล็บเท้า, เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ เป็นรากฐานพลังงานของอวัยวะทั้งหมด
ในความเชื่อมโยงของมุทราตะวันออก จักระ 1 อยู่ที่บริเวณข้อมือ (ภาพตัวอย่าง อนันตมุทรา Ananta Mudra) เสมือนว่าข้อมือคือฐานรากของจักระที่เหลือ เป็นขุมพลังที่จะส่งพลังไปใช้ในยามที่ร่างกาย หรือจิตของผู้ฝึกต้องการใช้มัน หากควบคุมพลังส่วนของจักระที่ 1 ได้ ก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายของการฝึกได้รวดเร็วขึ้น แต่ก็ยังเน้นย้ำเหมือนเดิมว่า หากใครคิดจะฝึกเพื่อไปรักษาผู้คน หากเป็นการบำบัดทางจิตใจ เพิ่มพลังใจ แบบนั้นแนะนำให้ทำ แต่ถ้ารักษาโรคชนิดอื่น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เท่านั้น
จักระที่ 2 สวาธิษฐาน (Swadhisthana)
เรียกว่า จักระศักดิ์สิทธิ์ หรือ Sacral Chakra สัญลักษณ์คือดอกบัว 6 กลีบ สีส้ม อยู่ตำแหน่งใต้สะดือเหนืออวัยวะเพศตัดไปถึงปลายสุดก้นกบ เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ ความทะยานอยาก ความต้องการที่ไม่ผ่านการขัดเกลา ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ มดลูก รังไข่ ช่องคลอด อัณฑะ ท่อปัสสาวะ อวัยวะเพศ ทวารหนัก ทวารเบา (ปัสสาวะ)
ในความเชื่อมโยงของมุทราตะวันออก จักระ 2 อยู่ที่ปลายนิ้วโป้ง ตรงนี้พอให้เราจับจุดได้แล้วนะครับว่า การผสานมือขวาทับมือซ้าย นิ้วโป้งจรดกันตามแบบสมาธิพื้นฐานที่เราคุ้นเคยก็มีแนวคิดมาจากมุทราสูตรนี้ เรียกว่าธยานมุทรา Dhyana Mudra เชื่อกันว่าจะช่วยให้มีกำลังในการเผชิญและเอาชนะอุปสรรคได้ เป็นท่าร่างการฝึกสมาธิเพื่อค้นพบเส้นทางแห่งจิตวิญญาณในแง่ของการฝึกปราณ นิ้วโป้งคือรากฐานของการแสวงหาความรู้ และเป็นการควบคุมสภาวะร่างกายให้นั่งสมาธิได้นานยิ่งขึ้น หากขุมพลังคือจักระ 1 แล้ว จักระที่ 2 ก็จะทำหน้าที่ในการดึงเอาพลังเหล่านั้นมาใช้ เป็นความต้องการกระทำหรือต้องการใช้งานในพลังดังกล่าวด้วยตัวผู้ฝึกเอง หรือเป็นการกรอกข้อมูลความต้องการ แรงผลักดัน สิ่งเร้าที่เกิดขึ้นลงไปที่จักระ 2 แล้วจักระ 1 ทำงานตอบสนองอัตโนมัติก็ว่าได้
เรียกว่า จักระแสงอาทิตย์ หรือ Solar Plexus Chakra สัญลักษณ์คือดอกบัว 10 กลีบ สีเหลือง ตำแหน่งบริเวณบั้นเอว ตรงกับแนวสะดือ ดูดซับพลังงานจากดวงอาทิตย์ และกระจายพลังที่ได้รับออกไปยังอวัยวะต่าง ๆ เป็นขุมพลังการเผาผลาญพลังงานและเป็นจุดศูนย์กลางของร่างกาย ควบคุมการทำงานของ ท้อง ตับ ไต ม้าม ถุงน้ำดี กระเพาะอาหาร ลำไส้ ระบบการย่อยอาหารและการขับถ่าย รวมถึงระบบเผาผลาญพลังงานไปสู่ร่างกายอีกด้วย
ในความเชื่อมโยงของมุทรา จักระ 3 อยู่ที่ปลายนิ้วกลาง หมายถึง การบำบัดรักษา ความอุดมสมบูรณ์ การโปรดสัตว์ และความเจริญในโภคทรัพย์สมบัติ มุ่งเน้นไป ที่การฝึกเพื่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย ท่านี้จะตรงกับชูนิมุทรา Shuni Mudra บางตำราก็เรียกอากาศมุทรา Akasha Mudra ถ้าเปรียบจักระรากเป็นขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ภายในกายมนุษย์ และจักระศักดิ์สิทธิ์เป็นความต้องการที่จะดึงเอาพลังงานเหล่านั้นมาใช้ ดังนั้นจักระแสงอาทิตย์ก็เปรียบเสมือนเครื่องจักรเติมพลังงาน เมื่อการย่อยอาหารและสารอาหารที่ได้จะถูกลำเลียงจากลำไส้เล็กไปสู่หลอดเลือดและท่อน้ำเหลือง เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย แน่นอนว่า หากระบบเผาผลาญดี ก็จะเสริมสร้างให้จักระรากแข็งแรงตามไปด้วย จักระแสงอาทิตย์เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบขับเคลื่อนให้ร่างกายมีชีวิตไม่ต่างจากลมหายใจเลยทีเดียว ระบบเมตาบอลิซึม (Metabolism) ซึ่งก็คือปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของร่างกาย เพื่อเปลี่ยนอากาศให้เป็นพลังงาน Adenosine Triphosphate (ATP) และพลังงานเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เพื่อการหายใจ, ใช้ในระบบหมุนเวียนโลหิต, การย่อยอาหาร, การซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่, ควบคุมการทำงานของฮอร์โมนและอุณภูมิของร่างกาย เป็นต้น อีกทั้งระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมยังทำงานตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย พลังงาน ATP ที่ถูกเก็บสะสมในกล้ามเนื้อแต่ไม่มากนัก หากร่างกายมีการเรียกใช้ก็จะหมดไปและเซลล์จะต้องสร้าง ATP ใหม่ทดแทน
จักระที่ 4 อนาหตะ (Anahata)
จักระที่ 4 อนาหตะ (Anahata)
เรียกว่า จักระหัวใจ หรือ Heart Chakra สัญลักษณ์คือดอกบัว 12 กลีบ สีเขียว อยู่ตำแหน่งกลางกระดูกสันหลังแนวเดียวกับหัวใจตัดผ่านมากลางหน้าอก เป็นขุมพลังแห่งความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ความรู้สึกปลอดภัย การให้อภัย ควบคุมการทำงานของหัวใจ ส่วนหนึ่งของการหายใจ มีคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับความรัก ความร่าเริง ความสุข
จักระที่ 5 วิสุทธิ (Vishuddha)
เรียกว่า จักระคอ หรือ Throat Chakra สัญลักษณ์คือดอกบัว 16 กลีบ สีฟ้า อยู่บริเวณตำแหน่งกระดูกต้นคอตัดมาที่ลำคอเหนือกล่องเสียง ควบคุมระบบทางเดินหายใจ เซลล์ผิวหนัง ต่อมไทรอยด์ คอ ปาก ลิ้น หลอดลม ไซนัส
เรียกว่า จักระตาที่สาม หรือ Third Eye Chakra สัญลักษณ์คือดอกบัว 6 กลีบ สีน้ำเงินคราม ตำแหน่งอยู่ศูนย์กลางหน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสอง หรือตำแหน่งตาที่สาม ควบคุมการทำงานของสมองส่วนหลังและระบบปราสาท การรับรู้ด้วยการมองเห็น และการได้ยิน คือการฝึกเกี่ยวกับสัมผัสที่ 6 สามารถมองเห็นในสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็นหรือจิตสัมผัส จักระนี้หลายคนเข้าใจผิด พยายามเพ่งจิตสร้างจินตภาพไปสู่จุดกึ่งกลางหน้าผาก ซึ่งนั่นไม่ใช่จุดศูนย์รวมพลังของจักระ 6 นะครับ จุดที่ต้องเพ่งคือบริเวณที่ท้ายทอยตัดมาสู่หว่างคิ้ว ตั้งอยู่ตรงสมองส่วนหลัง
เรียกว่าจักระมงกุฎ หรือ Crown Chakra สัญลักษณ์คือดอกบัว 1,000 กลีบ สีม่วงตำแหน่งอยู่กลางกระหม่อมศีรษะ สัมพันธ์กับจิตใต้สำนึก ตำราฮินดูเชื่อว่าเป็นจุดศูนย์กลางสูงสุดที่ใช้เชื่อมต่อกับเทพเจ้า ทำหน้าที่ดูดซับพลังงานจากห้วงจักรวาล หรือพลังศักติตามความเชื่อ และส่งผ่านกระจายไปทั่วร่างกาย ควบคุมการทำงาน และการสั่งการของสมองส่วนกลาง
ในความเชื่อมโยงของมุทรา จักระ 7 อยู่กลางฝ่ามือ สามารถใช้ฮาคินีมุทรา Hakini Mudra ในการฝึกบริหารจักระมงกุฎได้ เพื่อเสริมสร้างการทำงานของสมอง ความทรงจำ ปรับสมดุลของสมองซีกขวาและซีกซ้าย สำหรับจักระที่ 7 นี้ ทำหน้าที่ไม่ต่างจากสมองส่วนกลางดังที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยที่จักระมงกุฎแห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องฝึกหมุนจักระมากมายนัก เพราะ เป็นจักระที่ต้องใช้งานทุกครั้ง แม้กระทั่งในสูตรของการรักษาโรค ก็จะเริ่มต้นจากจักระ 7 แทบทั้งหมด ยกเว้นโรคเฉพาะทางบางอย่างเท่านั้น และในตำราเล่มนี้ ผู้เขียนไม่ได้ระบุวิธีการนำพลังจักรวาลไปรักษาโรคมาเป็นเทคนิคในการนำไปใช้งานให้แต่อย่างใดนะครับ เนื่องจากเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็ให้เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลไป ใครฝึกสายปราณจักระแล้วอยากนำไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนอื่น ก็ต้องเตรียมพร้อมรับแรงกระแทกจากสังคมให้ดีด้วยนะครับ อยากให้พิจารณาเหตุผลด้วยว่า ถ้าการรักษาคนมันจะง่ายดายและทำกันได้ขนาดนั้น นับแต่โบราณจะมีศาสตร์การแพทย์ทำไมให้ยุ่งยาก ไหนจะสมุนไพร ไหนจะสูตรการบำบัด แล้วยังสืบทอดมาสู่ยุคปัจจุบันให้วงการแพทย์ต้องทำงานเหนื่อยยากแสนเข็ญ คนโบราณฝึกปฏิบัติไม่ว่าจะสายปราณ สายสมาธิได้สมบูรณ์กว่าคนยุคเรา เนื่องด้วยธรรมชาติและวิถีชีวิตที่ไม่วุ่นวายเหมือนพวกเรา แต่ทำไม วิธีการรักษาถึงพึ่งมาพูดถึงหลังปี พ.ศ.2400
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น